คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5166/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานตั้งโรงงาน และประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ระหว่าง การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มีพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ยกเลิก พระราชบัญญัติโรงงานฉบับเดิมทั้งหมด โดยไม่มีบทบัญญัติใดระบุว่าการตั้งโรงงานเพื่อประกอบกิจการโรงงานเช่นจำเลยจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต และไม่มีบทกำหนดโทษเช่น พระราชบัญญัติโรงงานฉบับเดิม ถือได้ว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทำเช่นนั้น ไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ในข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185,215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตั้งโรงงานและประกอบกิจการตัดเย็บเสื้อผ้าโดยใช้เครื่องจักร จักรเย็บผ้าจำนวน 22 เครื่อง มีแรงม้ารวม 5.72 แรงม้า และใช้คนงานจำนวน 21 คนโดยจำเลยมิได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมาย และโดยไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย กับมิได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยได้รับเด็กอายุกว่าสิบสามปี แต่ยังไม่ถึงสิบห้าปีบริบูรณ์เข้าทำการตัดเย็บเสื้อผ้าในโรงงานดังกล่าว โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานตรวจแรงงาน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 5, 8, 12, 43, 44ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ข้อ 2, 8 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่อง คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 12) ข้อ 21 คืนจักรของกลางแก่เจ้าของ และให้จำเลยหยุดประกอบกิจการโรงงานจนกว่าจะได้รับอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง,44 วรรคหนึ่ง ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ข้อ 2, 8 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 12) ข้อ 21(2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 30,000 บาท ฐานประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 40,000 บาทฐานรับเด็กเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานตรวจแรงงานปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 6 เดือน และปรับ 80,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือนและปรับ 40,000 บาท คืนเครื่องจักรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะเกิดเหตุการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 มาตรา 8, 12, 43 และ 44 แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มีพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ออกมายกเลิกพระราชบัญญัติโรงงานฉบับเดิมทั้งหมด ปรากฏว่าโรงงานของจำเลยเป็นโรงงานตัดเย็บหรือเย็บเครื่องนุ่งห่มมีคนงานไม่เกิน50 คน จึงเป็นโรงงานจำพวกที่ 2 ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประกอบกับกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติใดตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ระบุไว้ว่าการตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 จะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตและไม่มีบทกำหนดโทษไว้เช่นพระราชบัญญัติโรงงานฉบับเดิม ถือได้ว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกาในข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185, 215 และ 225 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยนั้นไม่ต้องด้วยความเป็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share