คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3729/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินร่วม5,000,000 บาท แม้จำเลยอาจมีรายได้จากการประกอบพาณิชยกรรมค้าขายพืชผลเดือนละประมาณ 100,000 บาท มาชำระหนี้โจทก์จริงโดยไม่คลาดเคลื่อนก็ตาม แต่กว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาประมาณ 4 ปี อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ยินยอมด้วย ดังนั้นแม้โจทก์จะมิได้นำสืบหักล้างก็ตามก็ถือไม่ได้ว่ารายได้ประจำปีของจำเลยอาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 2,104,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งห้าไม่ชำระโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 มีอาชีพประกอบการพาณิชยกรรม มีรายได้จากการประกอบกิจการเพียงพอที่จะชำระหนี้และค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาเป็นรายปีได้ ขอให้งดการขายทอดตลาดและมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการทรัพย์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 2,104,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,460,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ นับแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินร่วม 4,000,000 บาทดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 อาจมีรายได้จากการประกอบพาณิชยกรรมค้าขายพืชผลเดือนละประมาณ 100,000 บาท มาชำระหนี้โจทก์จริงโดยไม่คลาดเคลื่อน แต่กว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาประมาณ 4 ปี อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ได้ยินยอมด้วย แม้โจทก์จะมิได้นำสืบหักล้างก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่ารายได้ประจำปีของจำเลยที่ 1 อาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 307
พิพากษายืน

Share