แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยอมรับที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงของเจ้าของเดิมของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ให้เส้นทางพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวด้านทิศใต้กว้าง 1.5 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าวแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านหลังใช้เป็นทางเดินและเมื่อแรกที่จำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ก็ได้ทำรั้วโดยเว้นทางพิพาทไว้อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาทและต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในทางพิพาทออกไป โจทก์ใช้ทางพิพาทตามข้อตกลงเป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 จึงไม่อาจได้ภารจำยอมโดยอายุความและข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 จึงไม่เป็นภารจำยอม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7087 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7085 จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7088 โดยรับโอนมาจากร้อยเอกบุญเลิศที่ดินทั้งหมดดังกล่าวเดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1466 ตำบลบางระมาด(ตลิ่งชัน) กรุงเทพมหานคร ของนางเฉลิม เมื่อปี 2511นางเฉลิมแบ่งขายให้แก่โจทก์ที่ 1 และบุคคลอื่น ๆ ที่ดินแปลงนี้อยู่ติดกับซอยพลากรซึ่งเป็นทางสาธารณะ เมื่อแบ่งแยกแล้วที่ดินของโจทก์ที่ 1 กับที่ดินของโจทก์ที่ 2 ไม่มีทางออกไปสู่ซอยพลากรขณะซื้อที่ดินได้มีข้อตกลงกันว่านายแฉล้มและร้อยเอกบุญเลิศซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ติดกับซอยพลากรต้องเว้นที่ดินหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินของตนเองคนละ 1.50 เมตร รวม 3 เมตรยาวตลอดแนวเพื่อเป็นทางสำหรับโจทก์ทั้งสองเข้าและออกซอยพลากรได้โจทก์ที่ 1 นายแฉล้มและร้อยเอกบุญเลิศจึงได้สร้างถนนขึ้นตามข้อตกลงดังกล่าวกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของโจทก์ทั้งสองจนถึงซอยพลากรมาตั้งแต่ปี 2511 โจทก์ทั้งสองได้ใช้ถนนดังกล่าวเข้าออกจากบ้านของโจทก์สู่ซอยพลากรตลอดมาเป็นระยะเวลาเกินกว่า10 ปี ทางดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมตามกฎหมายแล้ว เมื่อปี 2521จำเลยทั้งสองได้ซื้อที่ดินจากนายแฉล้มแปลงที่อยู่ติดกับซอยพลากรซึ่งส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนี้ตกเป็นทางภารจำยอมดังกล่าวแล้วโดยที่จำเลยทั้งสองก็รู้อยู่แล้วว่าส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนี้ตกเป็นทางภารจำยอม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2530 จำเลยทั้งสองปิดกั้นทางดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ประโยชน์ในทางภารจำยอมได้เช่นเดิม ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 โดยไม่สุจริต ทางซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองกว้าง 1.50 เมตร ยาวจดซอยพลากร ประมาณ 24 เมตรเป็นทางภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 7087 และเลขที่ 7085 ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนว่าทางดังกล่าวเป็นทางภารจำยอม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองรื้อสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในทางภารจำยอมออกไปให้หมดและทำทางภารจำยอมให้กลับคืนสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเอง หากจำเลยทั้งสองไม่กระทำให้โจทก์ทั้งสองกระทำการแทนจำเลยทั้งสองได้โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 นายแฉล้มและร้อยเอกบุญเลิศไม่เคยตกลงเว้นที่ดินหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินตามที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 และเลขที่ 7088 ฝ่ายละ 1.50 เมตรรวม 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินเพื่อให้เป็นทางภารยทรัพย์ของที่ดินโฉนดเลขที่ 7087 และเลขที่ 7085 ทางเข้าบ้านโจทก์ที่ 1 ที่ใช้อยู่เดิมเป็นคันดินกว้างเพียง 1 เมตร จากซอยพลากรไปจนถึงที่ดินของโจทก์ทั้งสอง คันดังกล่าวอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 กว้างประมาณ 0.5 เมตร และอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 กว้างประมาณ0.5 เมตร โจทก์ที่ 1 ใช้คันดินดังกล่าวเป็นทางเข้าที่ดินของโจทก์ที่ 1 โดยวิสาสะ โจทก์ที่ 2 ไม่เคยใช้ทางดังกล่าวแต่อย่างใดทางดังกล่าวจึงไม่ใช่ทางภารจำยอมโจทก์ทั้งสองมิได้เสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้องกับขอให้ห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องหรือกระทำการใด ๆ ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง หากปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางเดินมีเนื้อที่กว้าง .50 เมตรยาวประมาณ 24 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 12 ตารางเมตร ก็ให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินตอบแทนค่าใช้ประโยชน์ในที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ทางซึ่งโจทก์ทั้งสองใช้เข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองสู่ซอยพลากรเป็นทางภารจำยอมจำเลยทั้งสองจึงเรียกค่าตอบแทนในการใช้ประโยชน์จากโจทก์ทั้งสองไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7086เฉพาะที่ดินด้านทิศใต้ซึ่งติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 7088เลขที่ 24037 และเลขที่ 24038 ความกว้าง 1.50 เมตร ยาวตลอดแนวจากที่ดินโฉนดเลขที่ 7087 และเลขที่ 7085 ไปจนจดกับซอยพลากรตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7087 และเลขที่ 7085ตำบลบางระมาด (ตลิ่งชัน) อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนภารจำยอมเฉพาะที่ดินส่วนที่กล่าวมาแล้วในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยทั้งสองปลูกสร้างในทางภารจำยอมและทำให้ทางภารจำยอมกลับคืนดีในสภาพเดิม คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้งสองที่ให้จำเลยทั้งสองไปทำการจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองยอมรับที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงของเจ้าของเดิมของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ให้เว้นทางพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 ด้านทิศใต้กว้าง 1.5 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านหลังใช้เป็นทางเดินและเมื่อแรกที่จำเลยทั้งสองเข้าอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 7086ก็ได้ทำรั้วโดยเว้นทางพิพาทไว้อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางพิพาทและต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในทางพิพาทออกไป แต่โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทตามข้อตกลงเป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7086 จึงไม่อาจได้ภารจำยอมโดยอายุความ และข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่เป็นทรัพยสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4จึงไม่เป็นทางภารจำยอมเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางพิพาทและทำให้ทางพิพาทกลับคืนสภาพเดิม ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารกีดขวางหรือรบกวนการใช้ทางพิพาทของโจทก์ทั้งสอง ส่วนคำขอของโจทก์ทั้งสองที่ให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมให้ยก