คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นพิจารณาที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดจำเลยได้ให้การสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตามแต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางแล้วกล่าวอ้างว่าในขณะกระทำความผิดจำเลยมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเช่นนี้ ผู้ร้องจะต้องนำสืบให้ได้ความดังที่กล่าวอ้าง แต่ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดในทางตรงกันข้ามจำเลยทั้งสองกลับเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังนี้จึงต้องฟังว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิวรรคสอง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ และริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนเพชรบูรณ์ จ – 3506 ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถจักรยานยนต์ขอ>กลางเป็นของผู้ร้องผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด และรถจักรยานยนต์ของกลางก็ไม่ใช่ยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ขอให้สั่งคืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า รถจักรยานยนต์ของกลางไม่ใช่ของผู้ร้องก็เป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องกับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดความผิดของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ และสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่ผู้ร้องฎีกาว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์นั้น เห็นว่า เรื่องนี้ในชั้นพิจารณาที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องว่ากระทำความผิด จำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไป คดีถึงที่สุดแล้วแม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันผู้ร้องก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางแล้วกล่าวอ้างว่า ในขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเช่นนี้ ผู้ร้องจะต้องนำสืบให้ได้ความดังที่กล่าวอ้าง แต่ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำผิดในทางตรงกันข้ามจำเลยทั้งสองที่มาเบิกความเป็นพยานผู้ร้องกลับเบิกความว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ดังนี้จึงต้องฟังว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด
พิพากษายืน

Share