แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ว่า นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2525ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 18 ต่อปี แต่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้โดยให้การเพียงว่ากรณีผิดนัดโจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญาขายลดเช็คแก่โจทก์900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี และจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คให้โจทก์แล้ว ในกรณีผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่10 มิถุนายน 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ว่า นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2525ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สำหรับอุทธรณ์ที่ว่านับแต่วันที่ 10มิถุนายน 2525 ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 18 ต่อปีจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ โดยให้การเพียงว่ากรณีผิดนัดโจทก์เรียกดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี อุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 18 ต่อปี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยว่ามีการเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน