คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 401/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483อ้างว่าเป็นการชำระหนี้ภายใน 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเพียงว่า ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตและโจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้เพราะให้จำเลยกู้ยืมโดยรู้อยู่ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว มิได้คัดค้านว่าจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเกินกว่า 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและมิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธินำสืบในประเด็นดังกล่าว เมื่อผู้ร้องนำสืบได้ความตามคำร้องแล้ว คดีย่อมวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไปเพราะข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่าได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตก็ดี โจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้ก็ดี หาได้เป็นข้อสาระสำคัญในการพิจารณาเพิกถอนการโอนหรือการกระทำของจำเลยตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและมีคำพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าจำเลยกู้เงินไปจากผู้คัดค้านและชำระหนี้บางส่วน เป็นการชำระหนี้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตและโจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้เพราะโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมโดยรู้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานผู้ร้องไปได้บางส่วนก็ให้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามคำร้อง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าคำสั่งงดสืบพยานและคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องคือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ตามความในมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483โดยอ้างว่าเป็นการชำระหนี้ภายใน 3 เดือน ก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกันผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเพียงว่าผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตและโจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้เพราะให้จำเลยกู้ยืมโดยรู้อยู่ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว มิได้คัดค้านว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเกินกว่า 3 เดือนก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลายและมิได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน จึงไม่มีสิทธินำสืบในประเด็นดังกล่าว เมื่อผู้ร้องนำสืบได้ความตามคำร้องแล้ว คดีจึงวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานกันต่อไปเพราะข้อต่อสู้ของผู้คัดค้านที่ว่าได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตก็ดี โจทก์ไม่มีอำนาจขอรับชำระหนี้ก็ดี หาได้เป็นข้อสาระสำคัญในการพิจารณาเพิกถอนการโอนหรือการกระทำของจำเลยตามความในมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานผู้ร้องและผู้คัดค้านและให้เพิกถอนการชำระหนี้ที่จำเลยชำระแก่ผู้คัดค้านจึงชอบแล้ว
สำหรับปัญหาที่ว่า ผู้คัดค้านจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใดนั้นเห็นว่า การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จเท่านั้น อนึ่ง ฎีกาของผู้คัดค้านในส่วนนี้แม้จะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share