แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาเพื่อใช้อยู่อาศัยโดยนำไปจำนองไว้แก่ธนาคารในวันที่รับโอนซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านและจดทะเบียนยกให้แก่ ส. ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส. นำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่อีกธนาคารหนึ่ง ซึ่ง ส. กู้ยืมเงินมาไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านพิพาท โดยอาศัยสิทธิการเป็นพนักงานของธนาคารดังกล่าวซึ่งจะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี หลังจากนั้นโจทก์และ ส. ก็ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านร่วมกันตลอดมา การที่โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินและบ้านให้แก่ ส. ก็เพียงเพื่อให้ ส. นำไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิมเท่านั้น แม้จะถือว่าเป็นการขายตาม ป.รัษฎากร มาตรา 91/1 (4) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มา ก็ไม่ใช่กรณีที่ทำเป็นทางการค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2533 โจทก์ซื้อบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 75002 ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 40 ตารางวา จากบริษัทศรีกมลเทรดดิ้ง จำกัด และได้นำไปจำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งในขณะนั้นดอกเบี้ยมีอัตราสูงประมาณร้อยละ 15 ถึง 16 ต่อปี โจทก์เป็นผู้มีรายได้ไม่มาก ภาระการผ่อนชำระเงินในแต่ละงวดได้สร้างความลำบากแก่โจทก์และครอบครัวเป็นอันมาก ต่อมาในปี 2535 นายแสงชัย เรืองรองสรไกร บุตรชายของโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และมีอายุงานครบ 3 ปี มีสิทธิกู้ยืมเงินอัตราดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) นายแสงชัยจึงทำเรื่องขอกู้ยืมเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ก็ได้อนุมัติให้นายแสงชัยกู้ยืมเงินได้ ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2535 โจทก์ได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้นายแสงชัยและนายแสงชัยได้นำเงินกู้ไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในวันเดียวกัน ซึ่งภายหลังจดทะเบียนโอนจนถึงปัจจุบันโจทก์และครอบครัวซึ่งประกอบด้วยภริยาและบุตรอีก 3 คน รวมทั้งญาติพี่น้องของโจทก์ก็ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์มิได้มีเจตนาโอนขายเพื่อการค้าหรือหากำไรจากที่ดินและบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2545 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะจากจำเลยเป็นเงินภาษี 31,522.56 บาท เบี้ยปรับ 63,045.12 บาท เงินเพิ่ม 31,522.56 บาท และภาษีบำรุงท้องถิ่น 12,609.02 บาท รวมค่าภาษีทั้งสิ้น 138,699 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ลดภาษีที่เรียกเก็บโดยลดเบี้ยปรับ 63,045.12 บาท และลดภาษีบำรุงท้องถิ่น 6,304.51 บาท รวมลดให้ทั้งสิ้นเป็นเงิน 69,349.63 บาท คงเหลือเรียกเก็บเงินเป็นเงินภาษี 31,522.56 บาท เงินเพิ่ม 31,522.56 บาท และค่าภาษีบำรุงท้องถิ่น 6,304.51 บาท รวมค่าภาษีที่ต้องชำระทั้งสิ้น 69,349.63 บาท โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กล่าวคือ การขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจะต้องมีลักษณะเป็นไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (6) เสียก่อน เมื่อมีลักษณะดังกล่าวจึงค่อยไปพิจารณาความในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 หากพิจารณาได้ความว่า การขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่การขายเพื่อการค้าหรือหากำไรแล้วก็ไม่จำต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ในพระราชกฤษฎีกาอีก โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะค้าหรือหากำไรจากที่ดินแปลงดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะแก่โจทก์ ทั้งไม่มีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ตามมาตรา 91/15 (1) โจทก์อาศัยอยู่บนที่ดินและบ้านดังกล่าวและมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์มาเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีก่อนมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนและภายหลังการโอนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุตรของโจทก์แล้ว โจทก์ก็ยังคงอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าว ดังนั้น โจทก์จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 3 (6) (ค) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ ตส./03014400/6/100118 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2545 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.3 (อธ.4)/294/2545 ลงวันที่ 24 กันยายน 2545 และงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 565 แขวงยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ย้ายเข้ามาอยู่บ้านพิพาทเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ก่อนวันจดทะเบียนโอนที่ดินและโรงเรือนพิพาทให้แก่นายแสงชัยไม่ถึงหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้มา โจทก์จึงไม่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์ซื้อที่ดินจากบริษัทศรีกมลเทรดดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2533 และโอนให้นายแสงชัยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 ซึ่งเป็นการโอนภายในห้าปีนับแต่วันได้มา จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/1 (4) และ 91/2 (6) ประกอบพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มาตรา 3 (5) (ที่ถูกคือ มาตรา 3 (6)) แม้ภายหลังพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะถูกยกเลิกและใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่แทน ก็ไม่ทำให้โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับเดิมเพียงแต่ไม่ต้องรับผิดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ ตส./03014400/6/100118 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2545 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ สภ.3 (อธ.4)/294/2545 ลงวันที่ 24 กันยายน 2545 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 75002 ตำบลหลักสอง อำเภอหนองแขม (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านบนที่ดินดังกล่าวจากบริษัทศรีกมลเทรดดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2533 เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันของครอบครัว โดยกู้ยืมเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แล้วทำสัญญาจำนองที่ดินและบ้านดังกล่าวไว้แก่ธนาคารโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 3 ถึง 5 และโจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2534 ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2535 โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและทำสัญญาให้ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวแก่นายแสงชัยบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์โดยเสน่หา ตามสารบัญจดทะเบียนหลังสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 1 และหนังสือสัญญาให้เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 6 นายแสงชัยซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารดังกล่าวเป็นเงิน 700,000 บาท โดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี เพื่อนำเงินดังกล่าวไปไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และซ่อมแซมบ้าน โดยจำนองที่ดินและบ้านดังกล่าวไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่รับโอนที่ดินและบ้านจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 4 และ 5 หลังจากที่โอนที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นายแสงชัยแล้ว โจทก์กับครอบครัวและนายแสงชัยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวตลอดมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่โจทก์ให้ที่ดินพร้อมบ้านแก่นายแสงชัยบุตรของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 91/4 การประกอบกิจการดังต่อไปนี้ในราชอาณาจักร ให้อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามบทบัญญัติในหมวดนี้…(6) การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาด้วยวิธีใดก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา…” ซึ่งขณะที่โจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินตามฟ้องแก่นายแสงชัยบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์นั้น พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า “ให้การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากรมีดังต่อไปนี้…(6) การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เข้าลักษณะตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นเว้นแต่…” แสดงว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มา มิได้เป็นการขายเป็นทางค้าหรือหากำไรเสมอไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าการที่โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาเพื่อใช้อยู่อาศัยโดยนำที่ดินและบ้านไปจำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในวันที่รับโอนซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารดังกล่าวในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาโจทก์ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านดังกล่าว และจดทะเบียนยกที่ดินและบ้านให้แก่นายแสงชัยซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน แล้วนายแสงชัยนำที่ดินและบ้านไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายแสงชัยกู้ยืมเงินมาไถ่ถอนจำนองที่ดินและบ้านพิพาท โดยอาศัยสิทธิการเป็นพนักงานของธนาคารดังกล่าวซึ่งจะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี โดยการทำนิติกรรมดังกล่าวทั้งหมดทำในวันเดียวกัน หลังจากนั้นโจทก์และนายแสงชัยก็ยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านดังกล่าวร่วมกันตลอดมา ย่อมแสดงให้เห็นว่าโจทก์และครอบครัวยังจำเป็นต้องใช้ที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัย การที่โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นายแสงชัยบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตนก็เพียงเพื่อให้นายแสงชัยนำไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิมเท่านั้น การโอนที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่นายแสงชัยแม้จะถือว่าเป็นการขายตามมาตรา 91/1 (4) ที่ได้กระทำภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้มา ก็ไม่ใช่กรณีที่ทำเป็นทางการค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.