แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย กับพวก อีกหลายคน ได้ บังอาจร่วมกัน ใช้ กำลังประทุษร้าย ต่อย เตะ ศ. ผู้ตาย จน ล้ม ลงแล้ว จำเลย กับพวก ช่วยกัน จับ ยึด แขน ผู้ตาย ทั้งสอง ข้าง ไว้เพื่อ มิให้ ผู้ตาย ปัดป้อง ขัดขืน แล้ว จำเลย กับพวก ใช้ เท้า กระทืบผู้ตาย จน ได้รับ บาดเจ็บ ม้าม แตก ลำไส้เล็ก ฉีก ขาด กะบังลมซ้ายช้ำ มี โลหิต ตก ใน ช่องท้อง ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย เพราะ พิษบาดแผล ที่ จำเลย กับพวก ร่วมกัน ทำร้าย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย กับพวก การ ที่ โจทก์ บรรยายฟ้อง ดังกล่าว มี การ ระบุ การกระทำ ของ จำเลย แล้ว ต่อมา ฟ้อง กล่าว ต่อไป ว่า ศ. ผู้ ถูก ทำร้าย ถึงแก่ความตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย ทั้ง ท้ายคำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ อ้าง มาตรา 288 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา จึง เป็น คำฟ้อง ที่ ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หา จำเป็น ต้องกล่าว ซ้ำ ว่า โดย จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้อื่น อีก ใน คำฟ้อง ตอนต้น ของ โจทก์ ไม่ เพราะ คำว่า ศ. ผู้ตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย นั้นย่อม แปล ได้ แล้ว ว่า จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้ตาย นั่น เอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา 288 แต่ไม่ได้อ้างมาตรา 290 ด้วยก็ตาม กรณีเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับจ่าสิบเอกฉลวย ชัยเจริญ และนายนพรัตน์ ชัยเจริญ จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 8433/2528 ของศาลชั้นต้นกับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยกับนายนพรัตน์ ชัยเจริญได้ร่วมกันพาอาวุธมีด 1 เล่ม และเหล็ก 1 อัน ไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร แล้วจำเลยและนายนพรัตน์ ชัยเจริญกับพวก ได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายต่อย เตะ นายศรีจันทร์จำปางาม จนล้มลงแล้วยังช่วยกันจับยึดแขนนายศรีจนทร์ทั้งสองข้างไว้เพื่อมิให้นายศรีจันทร์ขัดขืน จากนั้นได้ใช้เท้ากระทืบนายศรีจันทร์จนได้รับบาดเจ็บ ม้ามแตก ลำไส้เล็กฉีกขาดกระบังลมซ้ายช้ำ มีโลหิตตกในช่องท้องและถึงแก่ความตาย เพราะพิษบาดแผลที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายสมเจตนาของจำเลยกับพวกนอกจากนี้จำเลยกับจ่าสิบเอกฉลวย ชัยเจริญ นายนพรัตน์ ชัยเจริญได้ร่วมกันใช้อาวุธมีดและเหล็กดังกล่าว ตี ฟัน ทำร้ายร่างกายนายประเสริฐ หรือเล็ก สุขดำที่บริเวณแขนซ้าย กลางศีรษะ และกลางหลัง โดยมีเจตนาฆ่านายประเสริฐหรือเล็ก แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากนายประเสริฐหรือเล็ก หลบหลีก ปิดป้องและแพทย์ทำการรักษาทัน จึงไม่ถึงแก่ความตายสมเจตนาจำเลยกับพวกขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก กระทงหนึ่ง จำคุก 10 ปีและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 อีกกระทงหนึ่งจำคุก1 ปี รวมเป็นจำคุก 11 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 7 ปี4 เดือน โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยสำหรับข้อหาความผิดฐานฆ่านายศรีจันทร์ จำปางามผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับข้อหากระทงความผิดที่โจทก์กล่าวหาจำเลยกระทำต่อนายประเสริฐ หรือเล็ก สุขคำซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295จำคุก 1 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 8 เดือนนั้น โจทก์ จำเลยไม่ฎีกาจึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาเฉพาะกระทงความผิดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยต่อนายศรีจันทร์จำปางาม ผู้ตายซึ่งต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ข.ว่า จำเลยกับนายนพรัตน์ ชัยเจริญและพวกอีกหลายคนได้บังอาจร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ต่อย เตะนายศรีจันทร์ จำปางามผู้ตาย จนล้มลงแล้วจำเลยกับนายนพรัตน์และพวกช่วยกันจับยึดแขนผู้ตายทั้งสองข้างไว้เพื่อมิให้ผู้ตายปัดป้องขัดขืนแล้วจำเลยกับพวกใช้เท้ากระทืบผู้ตายจนได้รับบาดเจ็บม้ามแตก ลำไส้เล็กฉีกขาด กะบังลมซ้ายช้ำ มีโลหิตตกในช่องท้องผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก โดยฟ้องโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ฟ้องโจทก์ดังกล่าวถือว่าโจทก์ประสงค์เพียงให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 โจทก์หามีความประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องดังกล่าว มีการระบุการกระทำของจำเลยแล้วต่อมาฟ้องกล่าวต่อไปว่า นายศรีจันทร์ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้อ้างมาตรา 288 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นของจำเลยเป็นความผิด ดังนั้น ถือว่าคำฟ้องดังกล่าวของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายของจำเลยที่อ้างว่าเป็นความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องกล่าวซ้ำว่าโดยจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นอีกในคำฟ้องตอนต้นของโจทก์ไม่เพราะคำว่านายศรีจันทร์ผู้ตายตายสมดังเจตนาของจำเลยนั้นย่อมแปลได้แล้วว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายนั่นเอง ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงการฆ่านายศรีจันทร์ผู้ตายเพียงว่าจำเลยกับพวกได้รวมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดัง เจตนาของจำเลย โดยมิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ซึ่งต่างกับคำฟ้องข้อ ค .ของโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์เพียงให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับนายศรีจันทร์ผู้ตายนั้นเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ดังฟ้องหรือไม่
ปัญหาดังกล่าวโจทก์มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์และจำเลยทำร้ายผู้ตายคือนายประเสริฐหรือเล็ก นางสาวพรพรรณและนางสาวปรนิมโดยเฉพาะนางสาวปรนิมเบิกความว่า ขณะผู้ตายถามหาผู้ทำร้ายนายวิชัยน้องชายผู้ตายกับจำเลย ปรากฏว่าจำเลยชกหน้าผู้ตาย 1 ที เตะที่ชายโครง 1 ที หน้าท้อง 1 ที และบริเวณก้านคออีก 1 ที ลักษณะเตะรุนแรงเสียงเท้ากระทบตัวผู้ตายดัง ส่วนนางสาวพรพรรณเบิกความว่าเห็นจำเลยชกปลายคางผู้ตาย และเห็นจำเลยเตะผู้ตายล้มลง เมื่อผู้ตายลุกขึ้นจำเลยเตะท้ายทอยผู้ตายอีก1 ที ผู้ตายจึงสลบ ส่วนนายประเสริฐหรือเล็กเบิกความว่าเห็นคน4 ถึง 5 คน รุมทำร้ายผู้ตายมีจำเลยอยู่ด้วย ส่วนพยานโจทก์นอกจากนี้เพียงเห็นกลุ่มคนรุมทำร้ายและเห็นเมื่อผู้ตายถูกทำร้ายแล้วเท่านั้น และแม้จะได้ความจากคำเบิกความนายประเสริฐหรือเล็กว่าขณะจำเลยทำร้ายผู้ตายได้มีผู้จับแขนผู้ตายทั้งสองข้างไว้ก็ตามแต่ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยเตะผู้ตายจนตายแล้วจำเลยจึงหยุดการกระทำนอกจากนี้ขณะจำเลยทำร้ายผู้ตายดังกล่าวไม่ได้ความจากพยานโจทก์คนใดว่าจำเลยได้กล่าวคำอาฆาตผู้ตายซึ่งพอเป็นข้อชี้ถึงเจตนาฆ่าผู้ตายของจำเลยแต่ประการใด คงมีแต่คำเบิกความนายประเสริฐหรือเล็กว่าเมื่อต่อว่าจ่าสิบเอกฉลวยว่าไม่ห้ามเด็ก จ่าสิบเอกฉลวยว่าแม่เอาให้ตายหมายถึงทำร้ายนายประเสริฐหรือเล็ก ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับการที่จำเลยกระทำต่อผู้ตายแต่ประการใด ส่วนนายแพทย์มานิตย์ พยานโจทก์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลผู้ตายเบิกความว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะผู้ตายอยู่ในภาวะช็อคเนื่องจากถูกของแข็งกระทบที่ท้องด้านซ้ายอย่างแรงทำให้ขั้วม้ามแตก และเสียโลหิตมากเพราะโลหิตไม่แข็งตัวขณะผ่าตัดเนื่องจากผู้ตายมีอาการช็อคเป็นเวลานาน ถึงแม้จะได้ความจากคำเบิกความของนายแพทย์มานิตย์ผู้ตรวจรักษาผู้ตายในเรื่องบาดแผลดังกล่าวของผู้ตายก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายเพราะอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ผู้ตายถูกจำเลยเตะถูกที่อวัยวะสำคัญม้ามแตกสลบช็อค เป็นเวลานาน เมื่อแพทย์ผ่าตัดเอาโลหิตออกโลหิตไม่แข็งตัวเนื่องจากช็อคนานเกินไปโลหิตจึงออกมาก ผู้ตายจึงถึงแก่ความตายก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 เท่านั้น
ปัญหาต่อไปมีว่าฟ้องโจทก์อ้างมาตรา 288 โดยมิได้อ้างมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาด้วย ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 290 ได้หรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา 288แต่ไม่ได้อ้างมาตรา 290 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยก็ตามกรณีเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล”
พิพากษายืน