คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งจำเลยได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยได้กระทำผิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ไม่จำต้องระบุเวลากระทำผิดไว้ในฐานความผิดส่วนของกลางยึดได้จากจำเลยหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไว้ในฟ้อง ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยชิงเอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ราคา 5,000 บาท พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำ 1 องค์ ราคา 2,500 บาท รวมราคา 7,500 บาท ของนางจู แซ่ตั้ง ผู้เสียหายไป โดยใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำ ใช้แขนรัดคอ และใช้มือปิดปากผู้เสียหายมิให้ขัดขืนร้องขอความช่วยเหลือและผลักทำร้ายผู้เสียหายจนล้มลงกระแทกกับพื้นดินทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น หรือพาทรัพย์นั้นไป และจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ 1 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้สร้อยคอทองคำกับพระเครื่องเลี่ยมทองคำที่ถูกชิงไปเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองประกอบมาตรา 80วางโทษจำคุก 8 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)เพราะฐานความผิดไม่ได้ระบุเวลากระทำผิด แต่ตอนบรรยายฟ้องได้ระบุว่ากระทำผิดเวลากลางคืนและไม่ได้บรรยายฟ้องว่ายึดของกลางได้จากจำเลยหรือไม่เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งจำเลยได้กระทำผิดไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยได้กระทำผิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงส่วนของกลางยึดได้จากจำเลยหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องบรรยายไว้ในฟ้อง ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว”
พิพากษายืน

Share