แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157 แต่สำหรับข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อหาความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 5, 13
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจ ไม่ปรากฏว่าเคยกระทำความผิดมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ร้ายแรงจนเกินไปนัก สมควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นนายตำรวจที่ดีต่อไป โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี คำขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2525 นายบัง ชมภูทัศน์ผู้เสียหายได้นำเงินสด จำนวน 10,000 บาท ไปประกันตัวนายอุทิศ สัมพันธุ์พงษ์ ผู้ต้องหาคดีการพนันสลากกินรวบ จำเลยซึ่งเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสมเด็จได้อนุญาตให้ประกัน ต่อมาวันที่ 5 ตุลาคม 2525 ผู้เสียหายขอถอนหลักประกันจำเลยคืนเงินสดให้ผู้เสียหายเพียง 9,000 บาท โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยหักเงินผู้เสียหายไว้จำนวน 1,000 บาท เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 สำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ 3 ปาก คือ ผู้เสียหาย นายสวัสดิ์ นังตะสาและนายสาง บุตรวัง ซึ่งร่วมกันไปรับเงินประกันคืนจากจำเลยผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยนำเงินมาคืนให้เพียง 9,000 บาทส่วนที่เหลืออีก 1,000 บาท จำเลยไม่ได้บอกว่า หักไว้เป็นค่าอะไร ผู้เสียหายเข้าใจว่า เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามว่า เงิน 1,000 บาทนั้น จำเลยหักไว้ชำระหนี้ที่จำเลยฝากเงินให้ผู้เสียหายไปซื้อไม้ แล้วผู้เสียหายมิได้ซื้อให้ ปัจจุบันผู้เสียหายทราบแล้วว่า จำเลยหักเงิน 1,000 บาท ไว้สำหรับเป็นค่าไม้ที่ผู้เสียหายเป็นหนี้นายสวัสดิ์ เบิกความว่า ผู้เสียหายเข้าไปพบจำเลยเพื่อขอเงินประกันคืน พยานนั่งรออยู่ในรถยนต์มิได้เข้าไปด้วย ต่อมาวันหลังผู้เสียหายบอกแก่พยานว่า จำเลยคืนเงินให้ไม่ครบ หักไว้ 1,000 บาทผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าจำเลยหักไว้เป็นค่าอะไร ต่อมาพยานให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามว่า เงิน 1,000 บาทที่จำเลยหักไว้นั้น เป็นหนี้ที่ผู้เสียหายค้างชำระเรื่องไม้พยานทราบเพราะผู้เสียหายบอก นายสางเบิกความว่าผู้เสียหายเข้าไปพบจำเลยเพื่อขอเงินประกันคืน พยานไม่ได้ตามเข้าไปด้วยแต่รออยู่ข้างนอก ผู้เสียหายกลับออกมาไม่ได้พูดอะไร ต่อมาผู้เสียหายบอกว่าได้เงินมาไม่ครบขาดไป 1,000 บาท เพราะจำเลยหักเนื่องจากผู้เสียหายเป็นหนี้ค่าไม้ พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้ง 3 ปากดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ต่างเบิกความสับสนแต่พอจับใจความได้ว่า จำเลยคืนเงินประกันให้แก่ผู้เสียหายไม่ครบ ขาดไป 1,000 บาท เนื่องจากผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลยอยู่ 1,000 บาท เป็นหนี้ที่เกิดจากจำเลยฝากเงินให้ผู้เสียหายไปซื้อไม้ แล้วผู้เสียหายมิได้ซื้อให้และยังมิได้นำมาคืนให้แก่จำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้ง 3 ปาก ดังกล่าวจึงเจือสมคำเบิกความของจำเลย ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157”
พิพากษายืน