คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนคดีนี้จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 3 ออกจากบ้านเลขที่ 39 ส่วนโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 38/2 คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา และคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน โดยคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือของจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า บ้านเลขที่ 39 เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งในฐานะที่ครอบครองร่วมกันมา ส. ก็ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ส่วนบ้านเลขที่ 39 ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท เมื่อ ส. ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 39 จึงเป็นทรัพย์มรดกของ ส. โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าใดดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือไม่ จึงหายุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ แม้คำพิพากษาในคดีก่อนจะผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกันแต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีก่อนยังหาเพียงพอแก่การวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดียังไม่ควรงดสืบพยานคู่ความ จำเลยฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 ข้อ 2(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสังวาลย์แซ่ตั้งหรือสุพภาศ ตามคำสั่งศาล นางสังวาลย์มีสามี 3 คนคนแรกไม่ทราบชื่อ คนที่ 2 ชื่อนายอ๊อด มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือโจทก์ที่ 5 คนที่ 3 คือนายฟัดหรือแทนหรือฝ้าย แซ่ตั้ง มีบุตรด้วยกันรวม 4 คน คือโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ส่วนจำเลยนั้นเป็นบุตรของนายฟัดสามีคนที่ 3 ซึ่งเกิดจากภรรยาอื่นมิใช่นางสังวาลย์แต่เป็นที่ยอมรับกันว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยเป็นทายาทของนางสังวาลย์ นางสังวาลย์ถึงแก่กรรมในปี 2531 และศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว โจทก์ที่ 1มีความประสงค์ที่จะแบ่งทรัพย์มรดกคือ ที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 52 หมู่ที่ 3 ตำบลไผ่จำศีลอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ3 งาน 25 ตารางวา และบ้านเลขที่ 39 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งห้า และจำเลยคนละ 1 ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้ยังมีบ้านเลขที่ 38/2 ของจำเลยปลูกอยู่ด้วย แต่จำเลยไม่ยินยอมให้ทำการแบ่งทรัพย์มรดก โจทก์ที่ 1 และที่ 4เคยมีกรณีพิพาทกับจำเลยตามคดีหมายเลขแดงที่ 390-391/2533 ของศาลชั้นต้น โดยโจทก์จำเลยต่างฟ้องขับไล่ซึ่งกันและกัน คดีดังกล่าวถึงที่สุดด้วยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องทุกฝ่ายปัจจุบันเลขที่ 39 โจทก์ที่ 4 อยู่อาศัย ส่วนจำเลยอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 38/2 โจทก์ทุกคนมีความประสงค์ที่จะแบ่งทรัพย์มรดกดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยินยอมจึงขอให้บ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายได้แก่ที่ดินแปลงดังกล่าวและบ้านเลขที่ 39 ให้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละ 1 ส่วน เท่า ๆ กัน หากไม่สามารถตกลงกันได้ให้นำทรัพย์มรดกออกประมูลขายระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลย แล้วนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน หากไม่อาจประมูลได้ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันตามส่วน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์ที่จะต้องนำมาแบ่งปันในหมู่ทายาท ที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลย โดยจำเลยได้รับการยกให้จากนางสังวาลย์ก่อนที่นางสังวาลย์จะถึงแก่กรรม กล่าวคือ เมื่อประมาณ 30 ปีมานี้นายทองคำซึ่งมีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท ได้นำที่ดินดังกล่าวไปประกันเงินกู้ไว้กับผู้มีชื่อ แต่นายทองคำไม่มีเงินจะชำระหนี้ จึงได้ให้จำเลยเอาเงินไปชำระหนี้แทนและได้ยกที่ดินให้จำเลย จากนั้นจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกับนางสังวาลย์ จนกระทั่งประมาณปี 2498 นางสังวาลย์เป็นผู้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทโดยจำเลยมิได้ร่วมลงชื่อด้วย ต่อมาปี 2523นางสังวาลย์ได้เอ่ยปากยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ หลักจากนั้นจำเลยเข้าครอบครองโดยการปลูกบ้านเลขที่ 38/2 และล้อมรั้วสังกะสีเป็นแนวเขตไว้อย่างแน่นอนชัดเจนเป็นการครอบครองโดยสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 4 กับจำเลยเคยพิพาทกันมาแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390-391/2533 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์ ซึ่งเป็นประเด็นเดี่ยวกับที่พิพาทกันในคดีนี้ว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์หรือของจำเลย ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อสำคัญแห่งคดีดังกล่าวโดยไม่จำต้องสืบพยานคู่ความต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานคู่ความและพิพากษาให้แบ่งที่ดินตามหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 52หมู่ที่ 3 ตำบลไผ่จำศิล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง และบ้านเลขที่ 39 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน หากตกลงกันไม่ได้ ให้นำทรัพย์ออกประมูลขายระหว่างโจทก์จำเลยแล้วนำเงินมาแบ่งเท่า ๆ กัน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งเท่า ๆ กัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยต่างเป็นทายาทโดยธรรมของนางสังวาลย์ผู้ตาย ที่ดินพิพาทตามหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1) เลขที่ 52 หมู่ที่ 3 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันมีเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 25 ตารางวา มีบ้านปลูกอยู่ 2 หลัง โจทก์ที่ 4 อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 39 ส่วนจำเลยอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 38/2 ก่อนคดีนี้จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 4 ออกจากบ้านเลขที่ 39 ส่วนโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 38/2 คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา และคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ปรากฎตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 390-391/2533 ของศาลชั้นต้น คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์หรือของจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวความว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า บ้านเลขที่ 39เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งในฐานะที่ครอบครองร่วมกันมานางสังวาลย์ก็ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทส่วนบ้านเลขที่ 39 ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท เมื่อนางสังวาลย์ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 39 จึงเป็นทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์ด้วย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าใด ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสังวาลย์หรือไม่ จึงหายุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ แม้คำพิพากษาในคดีก่อนจะผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีก่อน ยังหาเพียงพอแก่การวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานคู่ความ ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ก แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาคิดตามจำนวนทุนทรัพย์ 100,000 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย”
ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานคู่ความต่อไป แล้วศาลอุทธรณ์ใหม่ตามรูปคดีคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย

Share