แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าในปี 2523 ถึง 2525 นั้น ปีภาษีใดเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มจำนวนเท่าใด เงินเพิ่มภาษีอีกจำนวนเท่าใด เหตุใดโจทก์จึงต้องเสียเพิ่ม เพราะการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 กำหนดให้เสียเป็นรอบระยะเวลาบัญชีจากกำไรสุทธิซึ่งคำนวณจากรายได้หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรีและเมื่อเจ้าพนักงานประเมินเรียกตรวจสอบไต่สวนและแจ้งการประเมินให้เสียภาษีตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ก็ต้องตรวจสอบไต่สวนและแจ้งการประเมินตามรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว หากผู้ต้องเสียภาษีเห็นว่าการประเมินในส่วนใดมิชอบ ก็มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินนั้นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่โจทก์กล่าวในฟ้องคลุมมาว่าเจ้าพนักงานประเมินแจ้ง ให้โจทก์นำเอกสารและบัญชีไปตรวจสอบแต่โจทก์ส่งให้ไม่ครบจึงแจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีรวม3 ปีภาษีเป็นเงิน 954,783 บาท โดยมิได้แยกเป็นรายปีให้แจ้งชัดตามสภาพแห่งข้อหา คำขอท้ายฟ้องก็ระบุเพียงว่าขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย โดยมิได้ระบุว่าเป็นการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับเลขที่และลงวันที่เท่าใด เอกสารท้ายฟ้องที่จะแสดงถึงสภาพแห่งข้อหาและการประเมินรวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ขอให้เพิกถอนดังกล่าวก็ไม่มี เป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2532 จำเลยได้ปิดประกาศแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล เลขที่ 1138/2/0822-0824 ให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรจำนวน 954,783 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์และการประเมินของจำเลย กล่าวคือ ในระหว่างปี2523 ถึงปี 2525 โจทก์ประกอบกิจการรับบรรทุกดินและทราย แต่กิจการขาดทุนมาตลอด ครั้นเมื่อปี 2529 เจ้าพนักงานประเมินได้มีคำสั่งให้โจทก์นำบัญชีกับเอกสารการลงบัญชีของโจทก์ไปตรวจสอบ แต่โจทก์ไม่สามารถนำไปมอบให้ได้เพราะโจทก์ต้องหลบหนีหมายจับคดีอาญาและเอกสารทางบัญชีของโจทก์ในขณะนั้นเหลืออยู่เพียงบางส่วน ไม่มีผู้ใดดูแลเนื่องจากได้เลิกกิจการแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินภาษีโดยอาศัยมาตรา 71(1) ให้โจทก์เสียภาษีเป็นเงิน 954,783 บาทโจทก์ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมินและยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่าเอกสารทางบัญชีของโจทก์ถึงแม้จะส่งไม่ครบถ้วน แต่โจทก์สามารถหาหลักฐานการเป็นหนี้และค่าใช้จ่ายพร้อมหลักฐานการถูกยึดทรัพย์ ถูกฟ้องคดีต่าง ๆ มาแสดงว่าขาดทุนจริงได้ ฝ่ายจำเลยไม่เชื่อ โดยเจ้าพนักงานประเมินเชื่อว่าโจทก์มีรายรับตามบัญชีที่ยื่นไว้กับสรรพากรจริง แต่สำหรับรายจ่ายในบัญชีเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานประเมินไม่เชื่อ อีกทั้งระบุว่าโจทก์มีเงินฝาก 200,000 บาท และถือเป็นรายรับของโจทก์ ความจริงแล้วเงินฝากนั้นเป็นประกันหนี้ธนาคาร ไม่อาจจะถอนได้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย และธนาคารได้หักชำระหนี้แล้ว การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการประเมินและวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีโจทก์เกี่ยวกับภาษีอะไรบ้าง ตามแบบแจ้งการประเมินอะไรเลขที่เท่าใด โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วหรือไม่ มีคำวินิจฉัยอย่างไรเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่เท่าใด รวมกี่ฉบับเลขที่อะไรบ้าง สำหรับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลเลขที่ 1138/2/0822-0824 คือภาษีในปีใดบ้าง ยอดภาษีในแต่ละปีเท่าใด ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบอย่างไรบ้าง จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความเพียงว่า เจ้าพนักงานประเมินได้สั่งให้โจทก์นำเอกสารและบัญชีไปตรวจสอบ โจทก์นำไปมอบเพียงบางส่วน เจ้าพนักงานประเมินจึงอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 71(1) แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในระหว่างปี 2523 ถึง 2525เป็นเงิน 954,783 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินว่าแม้โจทก์จะส่งเอกสารทางบัญชีไม่ครบแต่โจทก์สามารถหาหลักฐานมาแสดงได้ว่ากิจการของโจทก์ขาดทุน แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ให้ความสนใจและได้วินิจฉัยว่าการประเมินชอบแล้ว ให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีจำนวนดังกล่าว ทั้งเงินฝากของโจทก์ในธนาคารจำนวน 200,000 บาทธนาคารได้หักชำระหนี้แล้วไม่อาจถือเป็นรายรับ การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงมิชอบ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าในปี 2523 ถึง 2525 นั้นในปีภาษีใดเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มจำนวนเท่าใดเงินเพิ่มภาษีอีกจำนวนเท่าใด เหตุใดโจทก์จึงต้องเสียเพิ่มเพราะการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 กำหนดให้เสียเป็นรอบระยะเวลาบัญชีจากกำไรสุทธิซึ่งคำนวณจากรายได้หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรีและเมื่อเจ้าพนักงานประเมินเรียกตรวจสอบไต่สวนและแจ้งการประเมินให้เสียภาษีตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ก็ต้องตรวจสอบไต่สวนและแจ้งการประเมินตามรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว หากผู้ต้องเสียภาษีเห็นว่าการประเมินในส่วนใดมิชอบ ก็มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินนั้นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่โจทก์กล่าวในฟ้องคลุมมาว่าเจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้โจทก์นำเอกสารและบัญชีไปตรวจสอบแต่โจทก์ส่งให้ไม่ครบ จึงแจ้งการประเมินให้โจทก์เสียภาษีรวม3 ปีภาษีเป็นเงิน 954,783 บาท โดยมิได้แยกเป็นรายปีให้แจ้งชัดตามสภาพแห่งข้อหา คำขอท้ายฟ้องก็ระบุเพียงว่าขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยโดยมิได้ระบุว่าเป็นการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับเลขที่และลงวันที่ใด เอกสารท้ายฟ้องที่จะแสดงถึงสภาพแห่งข้อหาและการประเมินรวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ขอให้เพิกถอนดังกล่าวก็ไม่มีเป็นคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับจึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
พิพากษายืน