คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์จำเลยได้มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวและร่วมประเวณีกันหลายครั้งในระยะเวลาที่โจทก์สามารถตั้งครรภ์ได้และทำให้โจทก์ตั้งครรภ์ในเวลาต่อมาและจำเลยเขียนจดหมายถึงโจทก์ยอมรับว่าเด็กหญิงที่คลอดจากโจทก์คือเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ตามเอกสารท้ายฟ้องนั้นเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจแล้วส่วนจำเลยและโจทก์ร่วมประเวณีกันเมื่อใดที่ไหนที่เป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์และจำเลยยอมรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรอย่างไรเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์คลอดเด็กหญิง บ. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้งในระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 และจัดการให้โจทก์ไปอยู่กับเพื่อนของจำเลยที่กรุงเทพมหานคร จากนั้นจำเลยไปเยี่ยมโจทก์หลายครั้งพาโจทก์ไปหาแพทย์และเขียนจดหมายถึงโจทก์หลายฉบับมีข้อความที่แสดงว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร่วมประเวณีกับชายอื่น ย่อมมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเด็กหญิง บ. มิได้เป็นบุตรของชายอื่น โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลยได้ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1557(3) ดังนั้นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจะต้องกำหนดให้นับแต่วันดังกล่าวมิใช่นับแต่วันฟ้อง จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าควรกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูเท่าไร ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ชำระตามที่ศาลล่างกำหนดคือเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าบุตรจะมีอายุครบ 10 ปีบริบูรณ์ หลังจากนั้นให้ชำระเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ โดยให้จำเลยชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์จำเลยได้มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวและร่วมประเวณีกันหลายครั้งในระยะเวลาที่โจทก์สามารถตั้งครรภ์ได้และทำให้โจทก์ตั้งครรภ์ในเวลาต่อมาโจทก์คลอดบุตรคือเด็กหญิง บ. จำเลยได้มีจดหมายถึงโจทก์ยอมรับว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องขอให้พิพากษาว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่เด็กหญิง บ. เดือนละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กหญิง บ. จะบรรลุนิติภาวะเป็นเวลา 19 ปี6 เดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 351,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์จริง ต่อมาจำเลยสืบทราบว่าโจทก์ได้ร่วมประเวณีกับชายอื่นในระยะเวลาที่โจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ จำเลยจึงเลิกล้มสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับโจทก์เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่เอกสารที่จำเลยยอมรับว่าเป็นบุตรเกิดจากจำเลย ค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นหนี้ตามศีลธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์จำเลยได้ร่วมประเวณีกันเมื่อไร ที่ไหน ที่เป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์และไม่ได้บรรยายว่าเอกสารท้ายฟ้องจำเลยได้ยอมรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เด็กหญิง บ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง บ. แก่โจทก์จำนวน 294,000 บาท (กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมกันทั้งหมดในช่วง 10 ปีแรกเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งโจทก์ขอมาเป็นเวลา9 ปี 6 เดือน เป็นเงิน 114,000 บาท และในช่วง 10 ปีหลังเดือนละ 1,500 บาท เป็นเงิน 180,000 บาท)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าโจทก์จำเลยได้ร่วมประเวณีกันเมื่อไร ที่ไหน ที่เป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์ได้และโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าเอกสารท้ายฟ้องจำเลยได้ยอมรับเด็กหญิง บ.เป็นบุตรอย่างไร เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าเมื่อระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์จำเลยได้มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวและร่วมประเวณีกันหลายครั้งในระยะเวลาที่โจทก์สามารถตั้งครรภ์ได้ และทำให้โจทก์ตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา และโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่า แม้โจทก์กับจำเลยจะมิได้จดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็มีเอกสารคือจดหมายที่จำเลยเขียนถึงโจทก์โดยจำเลยยอมรับว่าเด็กหญิงที่คลอดจากโจทก์คือเด็กหญิง บ. นั้นเป็นบุตรของจำเลย ดังปรากฏตามสำเนาจดหมายที่จำเลยได้เขียนถึงโจทก์เอกสารแนบท้ายฟ้องหมายเลข 11 คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา พอที่จำเลยจะเข้าใจแล้ว และจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้คดีมาถูกต้องตรงประเด็นส่วนที่ว่าจำเลยและโจทก์จะร่วมประเวณีกันเมื่อใด ที่ไหน ที่เป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์ และจำเลยยอมรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรอย่างไร เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันในชั้นพิจารณาต่อไปฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ฎีกาข้อต่อไปของจำเลยที่ว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความในเบื้องต้นว่าโจทก์คลอดเด็กหญิง บ.เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 ก่อนโจทก์คลอดบุตรดังกล่าว จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้ง โจทก์เบิกความยืนยันว่าระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้ง โดยโจทก์ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์เนื่องจากจำเลยต้องการมีบุตรกับจำเลยเพราะภรรยาของจำเลยไม่สามารถมีบุตรได้จนโจทก์ตั้งครรภ์และโจทก์ได้บอกให้จำเลยทราบ จำเลยเกรงว่าภรรยาของจำเลยจะทราบเรื่องจึงจัดการให้โจทก์ไปอยู่กับนายเฉลียว เพื่อนของจำเลยที่กรุงเทพมหานครจากนั้นจำเลยได้ไปเยี่ยมโจทก์หลายครั้งและพาโจทก์ไปหาแพทย์ด้วยนอกจากนี้จำเลยยังได้เขียนจดหมายถึงโจทก์หลายฉบับ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 และ จ.8 เห็นว่า นอกจากคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวแล้ว ตามจดหมายที่จำเลยเขียนถึงโจทก์ฉบับลงวันที่28 พฤศจิกายน 2531 เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า”น้องนีย์ ขอให้อดทนหน่อย อีกไม่นานพี่จะมารับไปอยู่ที่อื่นพร้อมลูก” กับอีกตอนหนึ่งว่า “ขอให้เลี้ยงลูกให้ดี เดี๋ยวนี้พี่รักนีย์ และลูกมากเลย” ซึ่งเป็นข้อความที่แสดงว่าเด็กหญิง บ.เป็นบุตรของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ไปร่วมประเวณีกับชายอื่น จึงมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเด็กหญิง บ.มิได้เป็นบุตรของชายอื่น คำเบิกความของโจทก์ประกอบเอกสารดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่ได้ร่วมประเวณีกับโจทก์ในระยะเวลาที่โจทก์อาจตั้งครรภ์ได้ก็ดี หรือว่าปริมาณตัวอสุจิของจำเลยมีน้อยกว่าเกณฑ์ปกติเป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์ยากก็ดี เป็นแต่นำสืบลอย ๆมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย
ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่าค่าอุปการะเลี้ยงดู ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดสูงเกินไปนั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียวจำนวน 294,000 บาท โดยกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูตามที่โจทก์ขอมานับแต่วันฟ้องนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557(3) บัญญัติให้การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 มีผลนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจะต้องกำหนดให้นับแต่วันดังกล่าว มิใช่นับแต่วันฟ้อง ส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูจะเป็นเท่าไรนั้น จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่า ควรเป็นอย่างไร จึงเห็นสมควรให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูตามที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดแต่ให้เริ่มคำนวณนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าเด็กหญิง บ. จะบรรลุนิติภาวะ ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง บ. เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด จนกว่าเด็กหญิง บ. จะมีอายุครบสิบปีบริบูรณ์หลังจากนั้นให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 1,500 บาทจนกว่าเด็กหญิง บ. จะบรรลุนิติภาวะ โดยให้จำเลยชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share