แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทมีเงื่อนไขระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อ จนกว่าจะชำระราคาครบถ้วนตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายย่อมใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 และในสัญญาซื้อขายระบุว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวด ผู้ขายมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทและย่อมมีสิทธิขายทอดตลาดได้ด้วยและเมื่อขายแล้วได้เงินไม่พอ ผู้ซื้อยอมชดใช้เงินจำนวนที่ขาดอยู่ เมื่อผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาและผู้ขายดำเนินการเอารถยนต์พิพาทออกขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 470 และ 471แล้ว ยังขาดเงินอีก 55,260 บาท ผู้ซื้อและผู้ค้ำประกันต้องรับผิด เพราะถือว่าเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทที่ขาดอยู่ และเงินจำนวนดังกล่าวนี้ไม่มีข้อใดในสัญญากำหนดให้ถือเป็นค่าเสียหายจึงมิใช่เบี้ยปรับ สัญญาซื้อขายข้อ 6 วรรคสองระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญานี้ ผู้ซื้อยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เงินจำนวน 55,260 บาท ซึ่งเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทที่ขาดอยู่ก็คือเงินงวดต่าง ๆ ที่เกิดจากการที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาผู้ขายจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากผู้ซื้อได้ตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขรถยนต์จากโจทก์ 1 คัน ราคา 478,700 บาท ตกลงชำระราคาแก่โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละงวด รวม 30 งวด กำหนดเงื่อนไขว่า เมื่อชำระครบกำหนดตามสัญญาแล้วกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวตกเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นผู้ค้ำประกันและรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่างวดตั้งแต่ งวดที่ 3 โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามแล้วแต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย โจทก์จึงติดตามรถยนต์กลับคืนและนำออกขายได้เงินเพียง 370,000 บาท เมื่อนำเงินค่าขายรถดังกล่าวไปหักกับราคารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระตามสัญญาคงขาดเงินอยู่ 55,260 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามให้จ่ายเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2531อันเป็นวันครบกำหนดเวลาทวงถามจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันใช้เงินจำนวน 61,476 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 55,260 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 7,000 บาทแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวน 55,260 บาท จากจำเลยทั้งสามได้หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3 ระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะตกแก่ผู้ซื้อก็ต่อเมื่อชำระราคาที่กำหนดไว้โดยมีเงื่อนไขชำระเป็นงวด ๆเป็นเงินสดครบถ้วนแล้ว ดังนี้สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ซึ่งย่อมใช้บังคับได้ และกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อ จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระราคารถยนต์พิพาทครบถ้วนตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 459 และเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคารถยนต์ตามงวดและข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยทั้งสามให้ชำระราคารถยนต์พิพาทแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์จึงได้ครอบครองรถยนต์พิพาทและได้ขายทอดตลาดแก่บุคคลภายนอกได้เงินเพียง 370,000บาท จึงยังคงขาดเงินอยู่จำนวน 55,260 บาท จึงจะครบราคาซื้อขายที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาแก่โจทก์ เงินส่วนนี้ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 12 ระบุว่ากรณีจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวดโจทก์มีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทและย่อมมีสิทธิขายทอดตลาดได้ด้วย และเมื่อขายแล้วได้เงินไม่พอจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินจำนวนที่ขาดอยู่ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1ยอมตกลงตามข้อสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินจำนวน 55,260 บาท ดังกล่าว อันเป็นเงินราคาค่ารถยนต์ที่ยังขาดอยู่ซึ่งจำเลยที่ 1 ตกลงยอมรับชดใช้ให้โจทก์ จากจำเลยที่ 1 ได้สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินจำนวนที่ขาดอยู่ดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ด้วยเพราะเงินจำนวนดังกล่าวตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ไม่มีข้อใดกำหนดให้ถือเป็นค่าเสียหาย ดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวก็ถือเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทในสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3และที่ขาดอยู่ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามสัญญานั่นเองส่วนที่โจทก์มีสิทธิขายทอดตลาดรถยนต์และได้เงินมาก่อนกำหนดอยู่บ้าง กรณีเป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงไม่อาจถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาต่อโจทก์เท่านั้น และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันใดจากฝ่ายจำเลยว่าโจทก์ได้บวกดอกเบี้ยหรือกำหนดราคาที่สูงเกินไป เมื่อเทียบกับราคาในตลาดทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องฟังว่าราคารถยนต์พิพาทตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นราคาปกติที่โจทก์ขายโดยทั่วไปโดยวิธีมีเงื่อนไขเช่นนั้น ดังนั้นจำนวนเงินราคารถยนต์ที่ขาดอยู่อันเกิดจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคาก็คือเงินราคารถยนต์ตามลักษณะของสัญญาซื้อขาย ซึ่งจำเลยที่ 1ตกลงทำสัญญาไว้ต่อโจทก์ และโจทก์ผู้ขายดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 470 และ 471 จะถือเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและสูงเกินไปหาได้ไม่
ส่วนปัญหาต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอากับจำเลยทั้งสามในอัตราเท่าใด ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 วรรคสอง ระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญานี้ ผู้ซื้อยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ฯลฯ เห็นว่าตามสัญญาข้อดังกล่าวจำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์ไว้ชัดว่าหากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญาจำเลยที่ 1ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เงินจำนวน 55,260 บาทก็คือเงินงวดต่าง ๆ ที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญานั้นเอง จึงเป็นเงินที่เกิดจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต่อโจทก์และต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 วรรคสอง ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในจำนวนเงินดังที่กล่าวแล้ว เพราะเงินที่ขาดอยู่ดังกล่าวมิใช่ค่าเสียหายแต่เป็นเงินที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ตามที่จำเลยตกลงไว้ต่อโจทก์ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 วรรคสอง ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน55,260 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ