คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าของร้านขายยาและเป็นผู้รับอนุญาตขายยาแผนโบราณที่ร้านขายยานั้น ใบทะเบียนพาณิชย์ก็ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ขายยาสำเร็จรูปแผนปัจจุบันที่ร้านขายยานั้นด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในร้านขายยาขณะที่นางสาว ด.ขายวัตถุออกฤทธิ์ให้เด็กชายพ.จำเลยจึงเป็นผู้มีวัตถุออกฤทธิ์ไว้เพื่อขาย และร่วมกับนางสาว ด.ขายวัตถุออกฤทธิ์นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 16, 90, 116 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 39 (พ.ศ. 2529) ลงวันที่ 16 พฤษภาคม2529 ข้อ 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ที่แก้ไขแล้ว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลินตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 90 จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาทโทษจำคุกรอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลินตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 90 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ลงโทษจำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยข้อแรกว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีร้อยตำรวจโทอัศวินเมฆสุขใส เจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชนกองบัญชาการตำรวจนครบาล นายพงศธร วิทยพิบูลย์ สารวัตรอาหารและยากองสารวัตรสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และเด็กชายพรเทพ กระโห้แก้ว ผู้เข้าไปล่อซื้อวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลินจากร้านขายยาดีอันเป็นพยานเบิกความยืนยันว่าในวันที่เด็กชายพรเทพเข้าไปล่อซื้อวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลิน จำเลยนั่งอยู่บริเวณหลังร้านขายยาดีอัน และร้อยตำรวจโทอัศวินกับนายพงศธรเบิกความด้วยว่าจำเลยได้นำใบอนุญาตจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทมาให้พยานดูด้วย แต่เป็นใบอนุญาตที่ขาดอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 นอกจากนี้โจทก์มีร้อยตำรวจตรีคีรีศักดิ์พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า วันที่พยานไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ พยานได้พบเจ้าของร้านขายยาดีอันคือจำเลยด้วยโดยจำเลยได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของร้านและได้แสดงใบทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย จ.16 ให้พยานดู พยานโจทก์ทั้งสี่นี้ไม่ปรากฎว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่พยานโจทก์ทั้งสี่จะเบิกความปรักปรำจำเลย ทั้งคำเบิกความของพยานดังกล่าวยังสอดคล้องกับพยานเอกสาร คือ ใบอนุญาตขายยาแผนโบราณเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นผู้รับอนุญาตขายยาแผนโบราณที่ร้านขายยาดีอันใบขอยกเลิกใบอนุญาตขายยาแผนโบราณเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งจำเลยเพิ่งไปยื่นขอยกเลิกเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2531 ภายหลังเกิดเหตุคดีนี้แล้ว และใบทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมาย จ.16 ซึ่งระบุว่าจำเลยเป็นผู้ขายยาสำเร็จรูปแผนปัจจุบันที่ร้านขายยาดีอัน ประกอบกับนางสาวดาวเรืองได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.14 ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่ที่หลังร้าน และจำเลยเป็นคนบอกที่เก็บยาที่ขายให้แก่เด็กชายพรเทพพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานของจำเลยขัดต่อเหตุผลไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ และแม้จำเลยจะนำนายภาณุรุจหรือสมบัติ เนตรอนงค์ มาสืบได้ ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นเจ้าของร้านขายยาดีอันในขณะเกิดเหตุและจำเลยอยู่ในร้านขายยาดีอันในขณะที่นางสาวดาวเรืองขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลิน ให้แก่เด็กชายพรเทพ จำเลยจึงเป็นผู้มีวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลิน จำนวน 201 เม็ด ไว้เพื่อขายและร่วมกับนางสาวดาวเรืองขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเพโมลิน จำนวน2 เม็ด ให้แก่เด็กชายพรเทพ จำเลยย่อมมีความผิดตามฟ้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share