แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม ปรากฏข้อเท็จจริงว่าม.ภริยาจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์และจำเลยต่อศาลแพ่ง ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับจำเลย โดยอ้างว่าที่ดินตามสัญญาซื้อขาย และสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ม. ซึ่งคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีทั้งสองถึงที่สุดให้ ม. ชนะคดี และที่ดินดังกล่าวได้โอนไปเป็นของโจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ม. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะได้รับความเสียหาย ดังนี้เมื่อศาลเห็นสมควรก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมไว้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน หรือมิฉะนั้นให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม
ระหว่างการบังคับคดี ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ม. ภริยาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่18100/2532 และ 23214/2532 ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลระหว่างโจทก์กับจำเลย โดยอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสและทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลโดยมิได้รับความยินยอมจากม.คดีทั้งสองอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และโจทก์จำเลยยังไม่สามารถตกลงเกี่ยวกับวิธีการบังคับคดีได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคดีดังกล่าวหากคดีดังกล่าวถึงที่สุดให้คู่ความแถลงให้ศาลทราบโดยเร็วเพื่อดำเนินการต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวน แล้วมีคำสั่งในเรื่องการบังคับคดีต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2) เมื่อศาลได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาเห็นเป็นการสมควรก็มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ได้ เมื่อคดีปรากฏว่า ม. ภริยาจำเลยอ้างว่าที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ม. และจำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลโดยมิได้รับความยินยอมจาก ม. ม.จึงเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 18100/2532และ 23214/2532 ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลย ขณะนี้คดีทั้งสองอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์และหากศาลพิพากษาคดีทั้งสองถึงที่สุดให้ ม. ชนะคดี และที่ดินดังกล่าวได้โอนไปเป็นของโจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ม. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมได้รับความเสียหาย จึงควรที่จะให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีดังกล่าวก่อน
พิพากษากลับ ให้งดการบังคับคดีไว้ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น