คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ร้องขอเพิกถอนในกรณีที่จำเลยที่ 1มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ซึ่งมีความหมายว่าการโอนทรัพย์นั้นต้องเป็นการโอนให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้ว และการโอนเช่นนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ เนื่องจากบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นต่างก็จะไม่ได้ชำระหนี้หรือไม่ได้ชำระหนี้เต็มจำนวนจากจำเลยที่ 1เพราะสภาพการมีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้น ได้รับความเสียหายอยู่ก่อนแล้วจากการที่ลูกหนี้มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สินซึ่งจะทำให้บรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นได้รับชำระหนี้เพียงส่วนเฉลี่ยในทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1นำทรัพย์สินเท่าที่มีไปชำระให้เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะ จึงเป็นการให้เปรียบแก่เจ้าหนี้คนนั้นและทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบเพราะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่มีโอกาสได้รับชำระโดยเฉลี่ยจากทรัพย์สินที่โอนไป กฎหมายจึงมุ่งคุ้มครองบรรดาเจ้าหนี้ด้วยกัน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนมิให้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน และอาจให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นการให้เปรียบเช่นนี้ได้ แต่กรณีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์พิพาทอันเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 มาก่อน ไม่มีปัญหาเรื่องผู้รับโอนจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นหรือไม่ หากจะถือว่าการโอนของจำเลยที่ 1 เป็นการให้เปรียบแก่ผู้โอนเหนือเจ้าหนี้ที่มีอยู่แล้ว ย่อมจะทำให้ผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนซึ่งไม่รู้ถึงสภาพการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยที่ 1 ต้องเสียหายไม่เป็นธรรมต่อผู้รับโอนอันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ประสงค์จะคุ้มครองผู้สุจริตและต้องเสียค่าตอบแทน กรณีนี้จึงไม่อาจเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์พิพาทแก่ผู้คัดค้านซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 มาก่อนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ล้มละลาย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2528 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2528และมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม2531 จากการสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2528จำเลยที่ 1 ได้โอนการขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์รวม 6 หมายเลข และเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2528 โอนขายพันธบัตรโทรศัพท์รวม 11 ฉบับให้แก่ผู้คัดค้านโดยการโอนขายดังกล่าวอยู่ในระยะเวลา 3 เดือนก่อนถูกฟ้องให้ล้มละลาย มีพฤติการณ์เป็นการโอนขายโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน213 รายรวมเป็นเงิน 137,282,181.74 บาท ขณะนี้ผู้ร้องรวบรวมทรัพย์ได้ไม่พอแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย ผู้ร้องจึงร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว ตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ก็ให้ชดใช้ราคาสิทธิการเช่าโทรศัพท์รวมเป็นเงิน 60,000 บาท และพันธบัตรโทรศัพท์รวมเป็นเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าทรัพย์รายพิพาท โดยสิทธิการเช่าโทรศัพท์ได้รับโอนมาโดยวิธีซื้อจากจำเลยที่ 1 เดิมทรัพย์ดังกล่าวผู้ร้องได้ทำการยึดไว้และสำหรับพันธบัตรโทรศัพท์พิพาท ผู้คัดค้านได้รับโอนมาจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริต การกระทำของผู้คัดค้านจึงไม่ทำให้เจ้าหนี้รายอื่นเสียเปรียบ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์รายพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านผู้รับโอน หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ก็ให้ผู้คัดค้านชดใช้ราคาสิทธิการเช่าโทรศัพท์รวมเป็นเงิน 60,000 บาท พันธบัตรโทรศัพท์รวมเป็นเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาท ยกเว้นโทรศัพท์หมายเลข 2517003 และหมายเลข2511644 และให้เพิกถอนการโอนพันธบัตรโทรศัพท์รายพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้าน ผู้รับโอน หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาสิทธิการเช่าโทรศัพท์ รวมเป็นเงิน40,000 บาท พันธบัตรโทรศัพท์รวมเป็นเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี แทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้คัดค้านได้รับโอนพันธบัตรโทรศัพท์รายพิพาทโดยซื้อจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่30 เมษายน 2528 และได้รับโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทโดยซื้อมาจากจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2528 ในระหว่างระยะเวลา 3 เดือน ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2528และมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม2531 มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองต่อผู้ร้องรวม 213 รายเป็นเงินจำนวนประมาณ 137,000,000บาท แต่ผู้ร้องรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยได้เพียง 200,000 บาทไม่พอแบ่งให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 โอนขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์พิพาทให้แก่ผู้คัดค้าน สมควรถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115 หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอเพิกถอนในกรณีที่จำเลยที่ 1 มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ซึ่งมีความหมายว่า การโอนทรัพย์นั้นต้องเป็นการโอนให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้ว และการโอนเช่นนั้นทำให้เจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ เนื่องจากบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นต่างก็จะไม่ได้รับชำระหนี้หรือไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนจากจำเลยที่ 1 เพราะสภาพการมีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งบรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นได้รับความเสียหายอยู่ก่อนแล้วจากการที่ลูกหนี้มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน ซึ่งจะทำให้บรรดาเจ้าหนี้เหล่านั้นได้รับชำระหนี้เพียงส่วนเฉลี่ยในทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 นำทรัพย์สินเท่าที่มีไปชำระให้เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะ จึงเป็นการให้เปรียบแก่เจ้าหนี้คนนั้นและทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบเพราะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่มีโอกาสได้รับชำระโดยเฉลี่ยจากทรัพย์สินที่โอนไป กฎหมายจึงมุ่งคุ้มครองบรรดาเจ้าหนี้ด้วยกันซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ก่อนมิให้ได้เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน และให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใด ๆซึ่งเป็นการให้เปรียบเช่นนี้ได้ แต่กรณีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์พิพาทอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนในคดีนี้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 มาก่อนไม่มีปัญหาเรื่องผู้รับโอนจะได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นหรือไม่หากจะถือว่าการโอนของจำเลยที่ 1 เป็นการให้เปรียบแก่ผู้รับโอนเหนือเจ้าหนี้ที่มีอยู่แล้ว ย่อมจะทำให้ผู้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนซึ่งไม่รู้ถึงสภาพการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยที่ 1ต้องเสียหายไม่เป็นธรรมต่อผู้รับโอน อันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ประสงค์จะคุ้มครองผู้สุจริตและต้องเสียค่าตอบแทน กรณีนี้จึงไม่อาจเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และพันธบัตรโทรศัพท์พิพาทแก่ผู้คัดค้านซึ่งมิได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 มาก่อนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า หากผู้คัดค้านไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์เฉพาะหมายเลข 2517003 และ 2511644 คืนให้แก่ผู้ร้องได้ก็ต้องใช้ราคาแทน จะยกเหตุที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยบอกเลิกสิทธิการเช่าโทรศัพท์มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ได้นั้นเห็นว่าเมื่อการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์พิพาททั้งหกเลขหมายเป็นการโอนที่ไม่อาจเพิกถอนได้ดังวินิจฉัยมาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ผู้คัดค้านจะต้องชดใช้ราคาสิทธิการเช่าโทรศัพท์ทั้งสองเลขหมายดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องอีก”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

Share