แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 4,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี รวมกันเข้าไว้ในต้นเงินมีกำหนดเวลากู้กัน 1 ปี แต่โจทก์ขอให้ทำเป็นสัญญาขายฝากกันไว้ไม่ต้องทำสัญญากู้และจำนองสัญญาขายฝากจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมจำนอง ข้อต่อสู้ของจำเลยดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกล่าวถึงความไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมดของสัญญาขายฝาก โดยคู่กรณีมีเจตนาที่แท้จริงจะทำสัญญาจำนองกัน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะนำสืบพยานในข้อนี้ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้ายมิใช่การสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร (อ้างฎีกาที่ 295/2508)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2504 นายสายสามีจำเลยขายฝากที่ดิน 1 แปลงแก่โจทก์ไว้เป็นเงิน 5,920 บาท มีกำหนด 1 ปีครบกำหนดไม่ไถ่ถอน ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นของโจทก์ ต่อมานายสายตาย จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้โจทก์เข้าครอบครองไม่ได้โดยจำเลยไม่ยอมออก ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากเรือนและที่ดินแปลงนี้ กับให้ใช้ค่าเสียหาย 2,100 บาท
จำเลยให้การว่า สามีจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 4,000 บาท โจทก์ขอให้ทำเป็นขายฝาก และคิดดอกเบี้ยล่วงหน้าหนึ่งปีเป็นเงิน 1,920 บาทรวมกับเงินกู้ด้วย จึงเป็นเงินตามสัญญาขายฝาก 5,920 บาท สัญญาขายฝากจึงเป็นนิติกรรมอำพราง ก่อนครบกำหนดตามสัญญาขายฝาก จำเลยนำเงินดอกเบี้ยไปขอไถ่ แต่โจทก์มิให้ไถ่ โจทก์ตกลงที่จะยืดอายุสัญญาให้ไปอีก ขอให้ยกฟ้องและขอถือคำให้การเป็นฟ้องแย้งว่า ขอให้ทำลายนิติกรรมขายฝากโดยบังคับให้โจทก์รับเงิน 5,920 บาท ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ความจริงได้ตกลงขายฝาก จำเลยหรือทายาทไม่ได้นำเงินมาไถ่ถอน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญาขายฝากที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยจะนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาขายฝากเป็นสัญญากู้ยืมเงินหรือเป็นจำนอง เป็นนิติกรรมอำพรางตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118 ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้สิทธิขอไถ่ถอนการขายฝากพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่โจทก์ ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไปและให้ใช้ค่าเสียหาย 2,100 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิสืบพยานว่าความจริงเป็นการกู้เงินและเอาที่ดินจำนองกัน สัญญาขายฝากที่ทำกันไว้เป็นนิติกรรมที่อำพรางนิติกรรมจำนอง นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์ไป 4,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี รวมกันเข้าไว้ในต้นเงิน มีกำหนดเวลากู้กัน 1 ปี แต่โจทก์ขอให้ทำเป็นสัญญาขายฝากกันไว้ ไม่ต้องทำสัญญากู้และจำนองสัญญาขายฝากจึงเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมจำนอง ข้อต่อสู้ของจำเลยดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างถึงความไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมดของสัญญาขายฝาก โดยคู่กรณีมีเจตนาที่แท้จริงจะทำสัญญาจำนองกัน จำเลยจึงย่อมมีสิทธิที่จะนำสืบพยานในข้อนี้ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย และหาใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ทั้งนี้ ตามนัยฎีกาที่ 295/2508
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานในประเด็นข้อที่ 1 ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้นั้นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี