คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองบัญญัติว่าการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่า ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายบทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนักถึง236.8 กรัม ไว้ในครอบครองเช่นนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว โจทก์ไม่จำต้องนำพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 138 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 97, 102 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522ข้อ 1 สั่งริบของกลางทั้งหมด และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามฟ้อง แต่ให้การปฏิเสธฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง มาตรา 66 วรรคสองกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต และจำเลยที่ 1มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่งให้จำคุก 6 เดือน เมื่อวางโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยทั้งสองแล้วจึงไม่อาจนำโทษกระทงหลังของจำเลยที่ 1 มารวมเข้ากับโทษกระทงแรกได้อีก และไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ได้เช่นเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51, 91 คงให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ประกอบด้วยมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 25 ปี ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่ถังแกลลอนของกลาง ซึ่งไม่ปรากฏว่าได้ใช้ในการกระทำความผิดให้คืนแก่เจ้าของ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ในข้อหาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่าผู้ใดมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเกินกว่ายี่สิบกรัมให้ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์ยังต้องมีหน้าที่นำพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริง ๆ นั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่า ผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนักถึง 236.8 กรัม ไว้ในครอบครองเช่นนี้จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว โจทก์ไม่จำต้องนำพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1มีเจตนาที่จะมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share