คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ตั้งประเด็นข้อกล่าวหาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ยินยอม และจำเลยที่ 2 ได้ไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร ขอให้เพิกถอนการยกให้ที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 2 กับขอให้จำเลยที่ 2ไถ่ถอนการจำนองที่ดินส่วนของโจทก์ ดังนี้แม้จำเลยที่ 1 ให้การและแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง คำให้การและคำแถลงของจำเลยที่ 1ดังกล่าวก็หามีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ไม่ทั้งจำเลยที่ 2 มิได้ให้การและโจทก์มิได้ยอมรับว่า จำเลยที่ 2แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์เกินกว่า 1 ปี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การและคำแถลงของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม นิติกรรมการยกให้ไม่สมบูรณ์และฟังว่าหลังจากการยกให้ที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ โจทก์มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกินกว่า 1 ปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 และพิพากษายกฟ้องนั้น จึงเป็นการไม่ชอบเพราะข้อเท็จจริงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ยังโต้เถียงกันว่า การยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ และโจทก์ยังครอบครองที่ดินพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีสินสมรสเป็นที่นาสองแปลง โจทก์และจำเลยที่ 1ได้ครอบครองและทำกินด้วยกันมาตลอด เมื่อปี 2516 โจทก์ให้จำเลยที่ 1ไปดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่นาทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่นาทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ การให้ดังกล่าวจึงไม่ผูกพันที่ดินส่วนของโจทก์ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินทั้งสองแปลงไปจดทะเบียนจำนองธนาคารขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1และเพิกถอนการยกให้ที่ดินในส่วนของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนการจำนองที่ดินทั้งสองแปลงนี้จากธนาคาร ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนโจทก์จะเป็นผู้ไถ่แล้วให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินที่โจทก์ได้ไถ่ถอนนั้นจนครบภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันไถ่ถอน ให้จำเลยที่ 2 ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 2 ใน น.ส.3 ก. ดังกล่าว หากจำเลยที่ 2ไม่ยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การรับตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการยกให้โดยเสน่หาอันเป็นไปตามสมควรในทางศีลธรรม นอกจากนั้นฟ้องโจทก์ยังขาดอายุความเพราะโจทก์ไม่ฟ้องเพิกถอนภายใน 1 ปี นับแต่รู้เห็นอันเป็นมูลให้เพิกถอนขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน จำเลยที่ 1 แถลงรับข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตลอดจนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ตั้งประเด็นข้อกล่าวหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1ได้นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไปจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ไม่ยินยอมและจำเลยที่ 2 ได้ไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารขอให้เพิกถอนการยกให้ที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ และใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 2 กับขอให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนการจำนองที่ดินส่วนของโจทก์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การและแถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง คำให้การและคำแถลงของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็หามีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ไม่ ทั้งจำเลยที่ 2 มิได้ให้การและโจทก์มิได้ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์เกินกว่า 1 ปี การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การและคำแถลงของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมนิติกรรมการยกให้ไม่สมบูรณ์และฟังว่าหลังจากการยกให้ที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ โจทก์มาฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกินกว่า1 ปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 และพิพากษายกฟ้องนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ เพราะข้อเท็จจริงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ยังโต้เถียงกันว่า การยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ และโจทก์ยังครอบครองที่ดินพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share