แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9378 ที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดมาหลักจากศาลพิพากษาให้ริบ มิใช่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9377 ที่ศาลพิพากษาให้ริบ ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องคืนรถยนต์นั้นแก่เจ้าของไป ศาลมีอำนาจคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบและผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้น
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และริบรถยนต์จิ๊ป ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน 8ช-9377 กรุงเทพมหานคร
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์จิ๊ป ยี่ห้อซูซูกิ คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9377 กรุงเทพมหานคร เป็นรถยนต์คันเดียวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9377 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ได้ให้นายณรงค์ สดากร เช่าซื้อไป จากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ผู้ร้องได้มีหนังสือบอกกล่าวและเลิกสัญญาแต่ผู้เช่าซื้อไม่ยอมคืนรถ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง และผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้คืนรถยนต์จิ๊ป ยี่ห้อซูซูกิหมายเลขทะเบียน 8ช-9377 กรุงเทพมหานคร ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่20 มิถุนายน 2533 ร้อยตำรวจโทศรวุฒกับพวกได้ร่วมกันจับกุมจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และได้ยึดรถยนต์จิ๊ปยี่ห้อซูซูกิ สีขาวรุ่นคาริเบียน คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9377กรุงเทพมหานคร ซึ่งบรรทุกอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเป็นของกลางปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 แต่ระหว่างสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจได้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้มาขอคืนไป ต่อมาศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและให้ริบรถยนต์ของกลาง วันที่ 25 ธันวาคม2533 ร้อยตำรวจโทศรวุฒิได้ไปยึดรถยนต์จิ๊ป ยี่ห้อซูซูกิ สีขาวรุ่นคาริเบียน หมายเลขทะเบียน 8ช-9378 กรุงเทพมหานครหมายเลขเครื่องยนต์ จี 13 เอ ที เอช 107426 หมายเลขตัวถังเอสเจ 51 ทีเอช 103242 จากนายณรงค์ สดากร ผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากผู้ร้องไป โดยอ้างว่าเป็นรถยนต์คันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบปรากฏตามบันทึกการยึดเอกสารหมาย ร.5 ปัญหาวินิจฉัยมีว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9378 เป็นคันเดียวกับรถยนต์คันหมายเลข 8ช-9377 ซึ่งเป็นคันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบหรือไม่ เห็นว่ารถยนต์คันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบ คือรถยนต์คันที่ถูกยึดมาเป็นของกลางตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งในบันทึกดังกล่าวระบุแต่เพียงว่ารถยนต์คันที่ยึดมาเป็นของกลาง มีหมายเลขทะเบียน8ช-9377 กรุงเทพมหานคร เท่านั้น ไม่ได้ระบุหมายเลขเครื่องยนต์หมายเลขตัวถังรถไว้ ทั้งไม่ได้ระบุด้วยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางนั้น ในชั้นไต่สวนก็ไม่ได้ความชัดว่าเจ้าพนักงานตำรวจมอบรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ใดไป ในชั้นสอบสวนคงได้ความแต่เพียงว่า เมื่อศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว ร้อยตำรวจโทศรวุฒิ ได้ไปยึดรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9378 กรุงเทพมหานครของผู้ร้องซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายณรงค์ สดากรผู้เช่าซื้อมาโดยอ้างลอย ๆ ว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9378กรุงเทพมหานคร เป็นรถคันเดียวกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9377กรุงเทพมหานคร ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ริบ เหตุใดรถคันเดียวจึงมีทะเบียนสองหมายเลขไม่มีผู้ใดนำสืบให้ปรากฏที่ร้อยตำรวจโทศรวุฒิเบิกความว่า รถยนต์คันที่ไปยึดมามีหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังรถตรงกับหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังรถคันที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปยึด นั้น ก็ไม่ได้ความว่าผู้บังคับบัญชาที่อ้างนั้นเป็นใคร และได้หมายเลขเครื่องยนต์และได้หมายเลขตัวถังรถมาอย่างไร ทั้ง ๆ ที่บันทึกการจับกุมนั้นไม่ได้ระบุหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังรถคันที่ศาลมีคำสั่งริบไว้เลยเช่นนี้จึงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ช-9378ที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดมาหลังจากศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วเป็นคันเดียวกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8ช-9377ที่ศาลมีคำสั่งให้ริบ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์คันอื่นที่มิใช่รถยนต์คันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบมาย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องคืนรถยนต์นั้นแก่เจ้าของไป ศาลมีอำนาจคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ศาลมีสั่งริบและผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้นศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้คืนรถยนต์จิ๊ป ยี่ห้อซูซูกิหมายเลขทะเบียน 8ช-9378 กรุงเทพมหานคร แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้ยกคำร้อง