คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์รับโอนประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่มาจากบริษัท อ.ก่อนที่ประทานบัตรของโจทก์จะสิ้นอายุ โจทก์ได้ดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ แต่จนถึงวันฟ้องคดี โจทก์ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้น และตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510มาตรา 73(3) ก็บัญญัติว่า เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้น ก่อนที่โจทก์จะได้รับประทานบัตรฉบับใหม่ โจทก์ยังไม่ได้สิทธิใด ๆ ในที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ขณะที่โจทก์เข้าไปดำเนินการในที่พิพาท เพื่อขอประทานบัตรใหม่เป็นการขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์ ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว แต่เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์ และจำเลยต่อสู้คดีว่า ประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว ที่พิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิทำเหมืองแร่ประทานบัตรที่ 3734/5843 เนื้อที่ 287 ไร่เศษ โจทก์ครอบครองดูแลรักษาตลอดมาเพื่อประสงค์จะเปิดทำเหมืองขุดหาแร่ต่อไป เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม2530 โจทก์ทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนและต้นไม้ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ คิดเป็นเนื้อที่ประมาณครึ่งไร่ ตามเส้นสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้อง โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยและบริวารออกไป พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินแก่โจทก์ เดือนละ 1,000 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ประทานบัตรเลขที่ 3734/5843ขาดอายุแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ถือประทานบัตรดังกล่าว และไม่มีสิทธิใดตามประทานบัตร จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทเพราะครอบครองโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 1 ปี แล้วฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ไม่ได้ใช้ที่ดินพิพาททำประโยชน์ใด ๆจึงไม่เสียหาย หากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 10 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเดิมบริษัทอีสต์เอเชียติกอินดัสตรีแอนด์พลานเตชั่น จำกัด ได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรที่ 3734/5843 ตั้งอยู่ตำบลกะปง อำเภอกะปง จังหวัดพังงา มีกำหนด 20 ปี ต่อมาโจทก์รับโอนประทานบัตรดังกล่าว จากบริษัทอิสต์เอเชียติกอินดัสตรีแอนด์พลานเตชั่น จำกัด หลังจากได้รับโอนประทานบัตรมาแล้ว โจทก์ได้เปิดทำเหมืองแร่ตลอดมาและขอต่ออายุประทานบัตรอีก 5 ปี ก่อนที่ประทานบัตรจะสิ้นอายุลงในวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2513 โจทก์ยื่นคำขอประทานบัตรใหม่ เมื่อวันที่ 9กุมภาพันธ์ 2513 ทรัพยากรธรณีจังหวัดตะกั่วป่ารับไว้ตามคำขอที่10/2513 เมื่อได้รับคำขอประทานบัตรแล้วทรัพยากรธรณีจังหวัดได้ส่งช่างรังวัดออกไปรังวัดกำหนดเขตพื้นที่ระหว่างเดือนเมษายน 2519ถึงเดือนกรกฎาคม 2519 และประกาศคำขอประทานบัตรตามกฎหมายแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ต่อมาโจทก์ยื่นแผนผังและโครงการทำเหมืองต่อทรัพยากรธรณีจังหวัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อออกประทานบัตร เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2530โจทก์สั่งให้คนงานของโจทก์นำรถแทรกเตอร์ไปไถบริเวณที่พิพาทเพื่อทำแผนผังและโครงการทำเหมืองยื่นต่อทรัพยากรธรณีจังหวัดจึงทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกกระต๊อบและต้นไม้เล็ก ๆ ในที่ประทานบัตรของโจทก์เนื้อที่ประมาณครึ่งไร่ ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว เห็นว่าประทานบัตรของโจทก์หมดอายุตั้งแต่วันที่ 28กุมภาพันธ์ 2513 โจทก์ได้ดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ จนถึงวันฟ้องคดีนี้โจทก์ก็ยังไม่ได้รับประทานบัตรใหม่ เพียงแต่เจ้าพนักงานรับเรื่องขอประทานบัตรใหม่ของโจทก์ไว้พิจารณาเท่านั้นทั้งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 73(3) ยังบัญญัติว่า เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองดังนั้น ก่อนที่โจทก์จะได้รับประทานบัตรฉบับใหม่ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ขณะที่โจทก์เข้าไปดำเนินการในที่พิพาทเพื่อขอประทานบัตรใหม่เป็นการขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปอยู่ในที่ประทานบัตรของโจทก์จำเลยต่อสู้คดีว่า ประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว และที่พิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยขัดขวางการขอออกประทานบัตรของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ อีกต่อไป ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share