แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การจะอนุญาตให้ทนายความถอนตนจากการแต่งตั้งเป็นทนายความหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลย ทนายจำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานควรให้ทนายจำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยทราบเสียก่อน และควรมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 การฟ้องเรียกเงินที่นายจ้างต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีคนงานเกินกว่า 20 คนมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนต่องานกองทุนเงินทดแทนสำนักงานแรงงานจังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานของโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ระหว่างปี 2527 ถึงปี 2530จำเลยทั้งสองยังติดค้างไม่ส่งเงินสมทบและเงินเพิ่มแก่โจทก์อยู่เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 150,254.87 บาท ได้ทวงถามแล้วจำเลยไม่ยอมชำระขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันและแทนกันชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยเงินเพิ่มตามกฎหมายในอัตราร้อยละห้าต่อเดือนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่าระหว่างปี 2527 ถึงปี 2530 จำเลยหยุดประกอบกิจการจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินสมทบและเงินเพิ่มแก่โจทก์ อย่างไรก็ดีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 ที่โจทก์อ้างถูกยกเลิกไปแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(7) นอกจากนี้ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายให้ชัดเจนซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง ในชั้นพิจารณา เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้วครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2ยื่นคำร้องขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยที่ 2 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายความของจำเลยที่ 1 ถอนตัวตามคำร้องและไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เลื่อนการสืบพยาน ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีพยานมาสืบ ซึ่งทนายจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลแรงงานกลางไว้แล้ว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 150,254.87 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยเงินเพิ่มตามกฎหมายอัตราร้อยละห้าต่อเดือนนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 มีนาคม2531) จนกว่าจะชำระเสร็จ ทนายจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางลงวันที่ 23 สิงหาคม 2531 และจำเลยที่ 1ที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่ทนายจำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งว่า ทนายจำเลยที่ 1 ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลยที่ 1เนื่องจากความคิดเห็นในการดำเนินคดีของจำเลยที่ 1 กับทนายจำเลยที่ 1 ไม่ตรงกัน และถ้าทนายจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินคดีต่อไป รูปคดีอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เป็นอันมาก ศาลควรมีคำสั่งว่าให้ทนายจำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยที่ 1ทราบเสียก่อนว่าจะคัดค้านหรือไม่ ทั้งควรมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนอย่างน้อย 7 วัน เพื่อพิจารณาสั่งตามคำร้องหรือว่าจะให้สืบพยานจำเลยต่อไป เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่มีโอกาสรู้ตัวเลยว่าทนายจำเลยที่ 1 ขอถอนตัว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีที่ทนายความที่ตัวความได้ตั้งแต่งให้มาเป็นทนายความในคดี จะมีคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการตั้งแต่งนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า ทนายความที่ตัวความได้ตั้งแต่งให้เป็นทนายในคดี จะมีคำขอต่อศาลให้สั่งถอนตนจากการตั้งแต่งนั้นก็ได้ แต่ต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า ทนายความผู้นั้นได้แจ้งให้ตัวความทราบแล้ว เว้นแต่จะหาตัวความไม่พบซึ่งศาลแรงงานกลางต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้โดยนัยแห่งพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 พึงเห็นได้ว่า การที่จะอนุญาตให้ทนายความถอนตนจากการแต่งตั้งนั้นหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งการที่ทนายจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางควรจะให้ทนายจำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยที่ 1 ทราบเสียก่อนและควรจะมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนเพื่อให้จำเลยที่ 1ได้ทราบว่า ทนายจำเลยที่ 1 ขอถอนตัวนั้น เท่ากับเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยที่ 1ถอนตนจากการตั้งแต่งเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบ จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 55ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์อีกประการหนึ่งว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะการฟ้องเรียกเอาเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7) มิใช่ฟ้องภายในอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้พ้นกำหนด2 ปีแล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังจะกล่าวต่อไปนี้มีกำหนดอายุความสองปี คือ
(1) บุคคลผู้เป็นผู้ค้า ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้เป็นช่างฝีมือและบุคคลจำพวกประกอบศิลปอุตสาหกรรมเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของทำของและค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปเว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่ออุตสาหกรรมของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง
ฯลฯ
(7) บุคคลซึ่งมิได้เข้าอยู่ในประเภทที่ระบุไว้ในอนุมาตรา (1)แต่เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่น หรือรับทำการงานต่าง ๆเรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น รวมทั้งค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปด้วย ฯลฯ”
การที่โจทก์ในฐานะผู้รับผิดชอบกองทุนเงินทดแทนฟ้องเรียกเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมายนั้นถือไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่น หรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างที่พึงได้รับจากการนั้น หรือฟ้องเรียกเงินที่ได้ออกทดรองไป กรณีของโจทก์ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7) ดังที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมาแต่เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164คือต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน