แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยรวมอยู่ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2523 มีกำหนดเวลา12 เดือน ย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 28 สิงหาคม 2524 สัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งรวมอยู่ด้วยจึงสิ้นสุดไปพร้อมกัน เว้นแต่โจทก์จำเลยจะได้ตกลงต่อสัญญากันต่อไปอีกโดยตรงหรือโดยปริยาย การที่โจทก์จำเลยจะเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปภายหลังจากสัญญาครบกำหนดแล้วจำเลยจะต้องเบิกเงินจากบัญชีได้อีก แต่โจทก์หายอมให้จำเลยเบิกเงินได้อีกไม่ จึงเห็นเจตนาของโจทก์ได้ชัดแจ้งว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะเดินสะพัดทางบัญชีกับจำเลยอีก ส่วนการที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชี2 ครั้งภายหลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว ก็เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่าเป็นการนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เท่านั้น หาได้มีเจตนาจะเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ต่อไปไม่ ภายหลังจากสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงโจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้โดยวิธีธรรมดาจะคิดดอกเบี้ยโดยวิธีทบต้นต่อไปอีกหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในหนี้ที่ค้างชำระตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่ทำไว้กับโจทก์จำนวน 112,154.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงในวันที่28 สิงหาคม 2524 โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้ จำเลยจ่ายเงินเกินกว่าที่เป็นหนี้โจทก์ไปจำนวน 99,284.24 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 112,154.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงเมื่อใด และจำเลยเป็นหนี้โจทก์เท่าใด เห็นว่า สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยรวมอยู่ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28สิงหาคม 2523 มีกำหนดเวลา 12 เดือน ย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 28สิงหาคม 2524 สัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งรวมอยู่ด้วยจึงสิ้นสุดไปพร้อมกัน เว้นแต่โจทก์จำเลยจะได้ตกลงต่อสัญญากันต่อไปอีกโดยตรงหรือโดยปริยาย ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการต่อสัญญากันต่อไปแต่อย่างใดโดยไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปอีก นางไพจิตร บุญศิริผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า หลังจากสัญญาครบกำหนดแล้วพยานเคยบอกจำเลยว่าจะไม่ให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชี เพราะจำเลยเบิกเงินเกินกว่าวงเงินซึ่งผิดระเบียบของธนาคาร และว่าจำเลยไม่เคยเบิกเงินอีก มีแต่จำเลยนำเงินเข้าบัญชี เจือสมตามข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีต่อจำเลยแล้วการที่โจทก์จำเลยจะเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไป จำเลยจะต้องเบิกเงินจากบัญชีของโจทก์ได้อีก แต่โจทก์หายอมให้จำเลยเบิกเงินได้อีกไม่ จึงเห็นเจตนาของโจทก์โดยชัดแจ้งว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะเดินสะพัดทางบัญชีกับจำเลยอีกหลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญา นอกจากโจทก์จะไม่ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีกแล้ว ยังปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ยังได้หักบัญชีเงินฝากประจำของนายสมชายผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนจำเลยอีก 500,000 บาท ทั้งการที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชี 2 ครั้ง ภายหลังจากครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว ก็เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่าเป็นการนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เท่านั้น หาได้มีเจตนาจะสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ต่อไปไม่ ถือได้ว่าบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงแล้วในวันครบกำหนดเวลาตามสัญญา คือวันที่ 28 สิงหาคม 2524 ซึ่งมีผลให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้โดยวิธีธรรมดา จะคิดดอกเบี้ยโดยวิธีทบต้นต่อไปอีกภายหลังจากสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้วหาได้ไม่
ส่วนปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เท่าใดนั้น โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้แย้งฟังได้ว่า นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2524 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2526 โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท และอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในวงเงินส่วนที่เกินกว่า 500,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2527 กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 16ธันวาคม 2527 กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2527 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2528 กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2528 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529จนถึงวันชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ กำหนดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15ต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินที่จำเลยค้างชำระตามอัตราในแต่ละช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยนำสืบฟังได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง คือ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2524จำนวน 30,000 บาท วันที่ 30 ธันวาคม 2524 จำนวน 34,000 บาท โจทก์ได้หักเงินฝากประจำของนายสมชายผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนจำเลยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2525 จำนวน 367,034.10 บาท วันที่ 13ตุลาคม 2525 จำนวน 123,965.90 บาท จึงต้องหักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากจำนวนหนี้ในวันที่จำเลยชำระหนี้ด้วยโดยหักชำระดอกเบี้ยก่อนเหลือจากนั้นจึงหักชำระหนี้ต้นเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนที่คำนวณได้จากต้นเงิน 533,715.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 19ต่อปี ในเงินส่วนที่เกิน 500,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2524 ถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2524 ต่อจากนั้นเป็นต้นไปให้คิดดอกเบี้ยไม่ทบต้น ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2524ถึงวันที่ 31 มกราคม 2526 คิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2527 คิดดอกเบี้ยร้อยละ 17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 ถึงวันที่ 16ธันวาคม 2527 ดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม2527 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2528 ดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2528 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ดอกเบี้ยร้อยละ17.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529ดอกเบี้ยร้อยละ 17 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 ถึงวันชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี การคำนวณหนี้ดังกล่าวให้หักหนี้ที่ฝ่ายจำเลยชำระเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2524จำนวน 30,000 บาท วันที่ 30 ธันวาคม 2524 จำนวน 34,000 บาทวันที่ 9 สิงหาคม 2525 จำนวน 376,034.10 บาท และวันที่ 13 ตุลาคม2525 จำนวน 123,965.90 บาท ออกจากจำนวนหนี้ที่มีอยู่ในวันชำระหนี้ด้วย โดยหักชำระหนี้ดอกเบี้ยก่อนเหลือจากนั้นให้หักชำระต้นเงิน