คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10877/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยเนื่องจากเดิมศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ดังนั้น การที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นการกระทำโดยชอบ แม้ต่อมาการยึดที่ดินพิพาทต้องถูกเพิกถอนไปเนื่องจากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้วให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 เบญจ นั้นเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิได้เกิดจากข้อบกพร่องของโจทก์ในการบังคับคดี อย่างไรก็ตามเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีแล้ว โจทก์จึงไม่อาจบังคับแก่ทรัพย์สินของจำเลยต่อไปได้ เพียงแต่การบังคับคดีที่โจทก์ได้ดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีมาแล้ว ถือได้ว่ามีเหตุสมควรและ มีความสุจริตในการบังคับคดี จึงไม่สมควรที่โจทก์จะต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจากผลของการที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 67,333 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ 20848 ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน เมื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 6 เดือน หากจำเลยไม่ชำระภายในกำหนดให้ถือว่าจำเลยผิดสัญญายอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดียื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ วิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงหมายเรียกให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี จำนวน 13,729.21 บาท โจทก์ได้รับหมายเรียกโดยชอบแล้วไม่ยอมชำระ จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของโจทก์เพื่อชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 ตรี ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ระหว่างพิจารณาคดีใหม่ โจทก์ยังไม่ได้ถอนการยึดทรัพย์พิพาทและเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้มีคำสั่งถอนการยึด ดังนั้น เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในชั้นพิจาณาคดีใหม่ เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะบังคับคดีให้แก่โจทก์ต่อไป การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียื่นคำร้องขอออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจึงไม่ชอบ และทำให้โจทก์เสียหายเพราะไม่สามารถบังคับคดีแก่จำเลยต่อไปได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำบังคับและหมายบังคับคดีที่ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเดิมจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ และออกหมายบังคับคดี โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ และมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย โจทก์ไม่ชำระภายในกำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงร้องต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ฉบับลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ที่ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลย เนื่องมาจากเดิมศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ แต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ดังนั้นการที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นการกระทำโดยชอบ แม้ต่อมาการยึดที่ดินพิพาทต้องถูกเพิกถอนไปเนื่องจากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้วให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ นั้นเป็นไปโดยผลของกฎหมายมิได้เกิดจากข้อบกพร่องของโจทก์ในการบังคับคดี อย่างไรก็ตามเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีแล้ว โจทก์จึงไม่อาจบังคับแก่ทรัพย์สินของจำเลยต่อไปได้ ที่โจทก์ขอให้บังคับคดีต่อไปจึงไม่อาจกระทำได้ เพียงแต่การบังคับคดีที่โจทก์ได้ดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดีมาแล้ว ถือได้ว่ามีเหตุสมควรและมีความสุจริตในการดำเนินคดีจึงไม่สมควรที่โจทก์จะต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย จากผลของการที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำร้องของจำเลยแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์เพื่อให้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามตาราง 5 (3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามคำขอของเจ้าพนักงานบังคับคดีมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อโจทก์ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจึงมีเหตุที่จะเพิกถอนหมายบังคับคดีดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share