คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9246/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคท้าย ศาลจะรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานได้ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ตัวพยานมาเบิกความต่อศาล แต่ทางพิจารณาได้ความว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์สืบพยานได้ 2 ปาก และส่งวีดีโอเทป 2 ม้วน เป็นพยาน แล้วแถลงว่าพยานปากผู้เสียหายไม่สามารถส่งหมายให้ได้เพราะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ย้ายไปเรื่อยๆ ติดต่อทางโทรศัพท์แล้วผู้เสียหายรับ พอรู้ว่าต้องมาเบิกความต่อศาลก็ปิดเครื่อง ไม่สามารถติดต่อได้อีก ขอเลื่อนคดีเพื่อตามตัวให้เบิกความอีกครั้ง ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงว่า ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่าติดต่อผู้เสียหายได้แล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ยอมมาเบิกความที่ศาล ขอให้ศาลสั่งตามที่เห็นสมควร ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแม้ผู้เสียหายจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่สามารถส่งหมายให้ได้ก็ตาม ก็ถือว่าโจทก์ยังติดต่อผู้เสียหายทางหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยให้ไว้ได้ และแม้ผู้เสียหายจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาเบิกความที่ศาลโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอย่างไร ก็ถือว่ายังอยู่ในวิสัยที่โจทก์หรือพนักงานสอบสวนจะติดตามตัวผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาลได้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ศาลจะรับฟังสื่อภาพและเสียงของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277, 317
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 317 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 8 ปี ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นจำคุก 28 ปี ส่วนจำเลยนอกนั้น คงจำคุกคนละ 20 ปี
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี วรรคท้ายนั้น กฎหมายดังกล่าวให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ตัวพยานมาเบิกความต่อศาล แต่ทางพิจารณาได้ความว่าในวันกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ วันที่ 14 มีนาคม 2549 โจทก์สืบพยาน 2 ปาก และส่งวีดีโอเทป 2 ม้วน เป็นพยานศาล แล้วโจทก์แถลงว่า พยานผู้เสียหายทั้งสองไม่สามารถส่งหมายให้ได้เพราะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ย้ายไปเรื่อย ๆ ได้ติดต่อทางหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยให้ไว้ ผู้เสียหายที่ 2 รับแล้วพอรู้ว่าจะต้องมาเบิกความต่อศาลก็ปิดเครื่องไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ขอเลื่อนคดีเพื่อติดต่อผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสี่ วันที่ 15 มีนาคม 2549 โจทก์แถลงว่าได้รับแจ้งจาก พนักงานสอบสวนว่าติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองเพื่อให้มาเบิกความต่อศาลได้แล้ว แต่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมมาเบิกความที่ศาล ให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร ศาลสั่งว่าได้ให้โอกาสโจทก์นำผู้เสียหายทั้งสอง มาเบิกความอีกครั้งแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาศาลประกอบกับทนายจำเลยทั้งสี่คัดค้าน จึงมีคำสั่งให้ งดสืบพยานโจทก์ที่เหลือ 2 ปาก ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว แม้ผู้เสียหายทั้งสองย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถส่งหมายให้ได้ก็ตาม โจทก์หรือพนักงานสอบสวนก็ยังสามารถติดต่อผู้เสียหายทั้งสองทางหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยให้ไว้ได้ แต่ผู้เสียหายทั้งสองบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาเบิกความต่อศาลเอง โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอย่างไร ซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่โจทก์หรือพนักงานสอบสวนติดตามตัวผู้เสียหายทั้งสอง มาเบิกความต่อศาลได้ ไม่ใช่อ้างเพียงว่าผู้เสียหายทั้งสองไม่ยอมมาเบิกความต่อศาล ให้ศาลพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร แสดงถึงการละเลยไม่เอาใจใส่ติดตามจับกุมผู้เสียหายทั้งสองให้มาเบิกความต่อศาล ดังนั้นการที่โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีมาเบิกความ จึงยังถือไม่ได้ว่า เป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง ศาลไม่สามารถรับฟังสื่อภาพและเสียงของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นสอบสวน เสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นพิจารณาของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ตรี วรรคท้าย ได้
พิพากษายืน

Share