คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าหนี้มอบเงินให้บริษัทจำเลยที่ 1 เพื่อร่วมลงทุนแล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทมอบให้เจ้าหนี้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันเงินลงทุนของเจ้าหนี้ โดย ป. และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายแม้จะไม่ได้ประทับตราของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้โดยมิได้เขียนว่าทำการแทนก็ตาม แต่การลงลายมือชื่อของ ป.กับจำเลยที่ 2 ก็เป็นการลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงออกถึงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยผู้แทนของนิติบุคคลดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 75 เดิม (มาตรา 70 ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของ ป. กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 มิใช่การกระทำของตัวแทนที่ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินแทนตัวการ แต่มิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลนั้นต้องรับผิดตามความในตั๋วเงินดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 2 ที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2529 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามเช็คและสัญญาการลงทุนรวมเป็นเงิน 71,304 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 2 โต้แย้งว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในเช็คร่วมกับนายปรีชา สิโรรส ในฐานะจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และเจ้าหนี้ได้ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายปรีชาเต็มจำนวนแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในเช็คที่เจ้าหนี้นำมาขอรับชำระหนี้ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 มิได้เขียนแถลงไว้ว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คจำเลยที่ 3ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คต้องรับผิดตามเช็ค เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามเช็คเป็นเงิน 71,170.55 บาท จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายปรีชาหรือจากจำเลยที่ 1 แล้ว เพียงใดให้สิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ได้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายปรีชา สิโรรสและจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 1ได้กู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไปเพื่อนำไปประกอบธุรกิจเงินทุนซื้อขายสินค้าล่วงหน้า โดยตกลงจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างสูง เจ้าหนี้ได้นำเงินจำนวน 65,000 บาท ไปร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาการลงทุนลงวันที่ 13 มีนาคม 2528 ให้เจ้าหนี้ไว้ และจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางรักลงวันที่ 13 มิถุนายน 2528 จำนวนเงิน 65,000 บาท โดยมีนายปรีชา และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย และมีจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสลักหลังมอบให้แก่เจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักประกันเงินลงทุนของเจ้าหนี้ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ปิดกิจการ นายปรีชากับจำเลยที่ 2 หลบหนี วันที่ 25 มิถุนายน 2528 เจ้าหนี้ได้นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเจ้าหนี้จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3
พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่าเจ้าหนี้มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ในเรื่องนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เสนอความเห็นต่อศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ ได้รับชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปัญหาในชั้นนี้จึงมีเพียงว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทต่อเจ้าหนี้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหนี้ได้มอบเงินให้จำเลยที่ 1 เพื่อร่วมลงทุน แล้วจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาทมอบให้เจ้าหนี้ไว้ เพื่อเป็นหลักประกันเงินลงทุนของเจ้าหนี้ โดยเช็คพิพาทนี้มีนายปรีชากับจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย แม้เช็คพิพาทนี้มิได้ประทับตราของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อไว้โดยมิได้เขียนว่าทำการแทนก็ตาม แต่การลงลายมือชื่อของนายปรีชากับจำเลยที่ 2 เป็นการลงลายมือชื่อในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงออกถึงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยผู้แทนของนิติบุคคลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 เดิม (มาตรา 70ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของนายปรีชากับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำในนามของจำเลยที่ 1 มิใช่การกระทำของตัวแทนที่ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินแทนตัวการ แต่มิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอื่นซึ่งบุคคลนั้นต้องรับผิดตามความในตั๋วเงินนั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 901 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่ขอชำระหนี้ตามเช็คจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share