แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จสต.สัมพันธ์ พยานโจทก์ แม้จะไม่ได้รู้เห็นในขณะเกิดเหตุแต่ก็ได้มีการสืบสวนและติดตามทรัพย์ของกลางตลอดมา เบื้องต้นเมื่อทราบว่าจำเลยที่ 2 ลักรถจักรยานยนต์ก็ได้ติดตามตัวจำเลยที่ 2 และทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ลักรถจักรยานยนต์แล้วไปขายให้แก่จำเลยที่ 3จึงติดตามไปพบจำเลยที่ 3 ได้ทราบว่าได้ขายให้จำเลยที่ 1 จึงได้ติดตามไปที่ร้านจำเลยที่ 1 ได้พบรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2ลักมาโดยจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนแปลงสภาพให้ผิดไปจากเดิมแล้วการติดตามทรัพย์ของกลางรายนี้ของ จ.ส.ต.สัมพันธ์มาจากเหตุคำรับของจำเลยแต่ละคน แต่ผลสุดท้ายก็สามารถติดตามทรัพย์ของกลางได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยแต่ละคนได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลาง จนเจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดคืนมาได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแม้จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุ ก็ยังถือไม่ได้ว่าพยานโจทก์มีแต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมหรือชั้นสอบสวนแต่อย่างเดียว เพราะยังมีคำเบิกความของ จ.ส.ต.สัมพันธ์มาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแต่ละคนอีกด้วย จึงเป็นพยานหลักฐานเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1และที่ 3 รับของโจร จำเลยที่ 2 ลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2533เวลากลางคืนหลังเที่ยง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักเอารถจักรยานยนต์1 คัน ของนายพนมผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายสมชายไป ต่อมาวันที่ 29 มิถุนายน 2533 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 นำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปขายให้จำเลยที่ 3 และวันที่ 15 กรกฎาคม 2533เวลากลางวัน จำเลยที่ 3 ได้นำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปมอบให้จำเลยที่ 1 รับไว้ โดยรู้อยู่ว่าเป็นรถที่ได้มาจากการลักทรัพย์เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมทั้งยึดรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยทั้งสามร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ดังกล่าวของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันรับเอารถจักรยานยนต์ดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ซึ่งได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334, 335, 357, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก, 83 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ส่วนจำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3ในข้อหารับของโจร และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาลักทรัพย์ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดฐานรับของโจรและจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุคงมีพยานโจทก์ที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์หลังจากที่รถจักรยานยนต์หายไปแล้ว คือจ่าสิบตำรวจสัมพันธ์พยานปากนี้เบิกความว่า ได้สืบทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นกลุ่มคนร้ายที่ลักรถจักรยานยนต์ในเขตอำเภอหาดใหญ่ครั้นวันที่ 17 กรกฎาคม 2533 จ่าสิบตำรวจสัมพันธ์ได้ไปสอบถามจำเลยที่ 2 ริมถนนสายเอเชีย จำเลยที่ 2 รับว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางและรถจักรยานยนต์คันอื่นอีก แต่ได้ขายให้จำเลยที่ 3จ่าสิบตำรวจสัมพันธ์จึงให้จำเลยที่ 2 พาไปบ้านจำเลยที่ 3 แต่ไม่พบจำเลยที่ 3 วันรุ่งขึ้นจ่าสิบตำรวจสัมพันธ์ได้ไปบ้านจำเลยที่ 3 อีก และได้สอบถามจึงทราบว่ารถจักรยานยนต์ของกลางจำเลยที่ 3ได้ขายต่อไปให้จำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจได้ไปยึดรถจักรยานยนต์ที่ร้านจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ พยานโจทก์ดังกล่าวแม้จะไม่ได้รู้เห็นในขณะเกิดเหตุ แต่ก็ได้มีการสืบสวนและติดตามทรัพย์ของกลางตลอดมา เบื้องต้นเมื่อทราบว่าจำเลยที่ 2 ลักรถจักรยานยนต์ก็ได้ติดตามตัวจำเลยที่ 2 และทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางแล้วไปขายให้จำเลยที่ 3 จึงติดตามไปพบจำเลยที่ 3 ได้ทราบว่าได้ขายให้จำเลยที่ 1 จึงได้ติดตามไปที่ร้านจำเลยที่ 1 ได้พบรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2 ลักมา จึงได้ยึดไว้เป็นของกลาง และให้นายสมชายดูและยืนยันว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่นายสมชายครอบครองใช้อยู่และมีคนร้ายลักไป การติดตามทรัพย์ของกลางรายนี้ของจ่าสิบตำรวจสัมพันธ์มาจากเหตุคำรับของจำเลยแต่ละคน แต่ผลสุดท้ายก็สามารถติดตามทรัพย์ของกลางได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยแต่ละคนได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลาง จนเจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดคืนมาได้ และของกลางได้เปลี่ยนแปลงสภาพ ทั้งหมายเลขเครื่องและสีของรถ ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยแต่ละคนรู้เรื่องที่มาของรถจักรยานยนต์ได้ดีและสามารถบอกแก่เจ้าพนักงานตำรวจได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแม้จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุ แต่จากการติดตามจนได้รถจักรยานยนต์ของกลางคืน ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชั้นสอบสวน รถจักรยานยนต์ของกลางยึดได้จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนสภาพให้ผิดไปจากเดิมเช่นนี้พยานโจทก์จึงมิใช่มีแต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมหรือชั้นสอบสวนแต่อย่างเดียว แต่มีคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสัมพันธ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนได้รถจักรยานยนต์ของกลางคืนมาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแต่ละคนย่อมเป็นพยานหลักฐานเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับของโจร จำเลยที่ 2 ลักทรัพย์
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น