คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ดึงใบสมัครงานทั้งสองฉบับไปจากมือของผู้เสียหายเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยจำเลยที่ 1 กระทำลงไปตามลำพัง จำเลยที่ 2มิได้สมคบร่วมรู้เห็นมาก่อน ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะเห็นการโต้ตอบระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 และเห็นจำเลยที่ 1 แย่งเอกสารจากผู้เสียหายซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ โดยมีพนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 คน ยืนล้อมผู้เสียหายอยู่และจำเลยที่ 2 ยอมรับเอกสารดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผลของการกระทำของจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มีการกระทำการใด ๆ ที่ส่อแสดงว่ามีการยอมรับการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำต่อผู้เสียหาย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็มิได้มีหน้าที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่รับเอกสารจากจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างมาเก็บรักษาไว้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,188 และคืนเอกสารสำเนา (คู่ฉบับ) ใบสมัครงาน 2 แผ่น แก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 83 จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ10,000 บาท จำเลยทั้งสองได้ชดใช้เงินจำนวน 7,000 บาท คืนแก่ผู้เสียหาย อันเป็นการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยต้องโทษมาก่อนโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คืนเอกสารใบสมัครงาน 2 แผ่น แก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนางสาวดวงกมล หลงแก้ว ผู้เสียหายและนายพรเทพ อนันทะสะ มาเบิกความเป็นพยานได้ความเพียงว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายและนายพรเทพไปพบจำเลยทั้งสองที่สำนักงานจัดหางานเซ็งเงี๊ยบบริการ โดยผู้เสียหายบอกจำเลยที่ 1 ว่าจะมาขอรับเงินค่าธรรมเนียมคืน จำเลยที่ 1 พูดว่าเหตุใดผู้เสียหายจึงต้องไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจด้วย ผู้เสียหายว่าไม่ได้ไปแจ้งความเพียงแต่ไปขอให้เจ้าพนักงานตำรวจช่วยทวงเงินให้ผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงขอดูใบสมัครงานตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ผู้เสียหายก็นำใบสมัครงานดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ดู ทันใดนั้นจำเลยที่ 1 ดึงใบสมัครงานทั้งสองฉบับไปจากมือของผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 นำใบสมัครงานนั้นให้จำเลยที่ 2 เก็บรักษาไว้และพูดขู่ว่า “ไม่คืนหรอก ไม่ให้ เงินก็ไม่ให้ มีปัญหาอะไรมั้ย” ขณะที่จำเลยที่ 1 พูดขู่ พนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาณ 20 คน ได้มายืนล้อมผู้เสียหายและนายพรเทพไว้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้เสียหายและนายพรเทพจึงเดินทางออกจากสำนักงานจัดหางานดังกล่าวแล้วไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 ดึงใบสมัครงานทั้งสองฉบับไปจากมือของผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดนั้นเอง โดยจำเลยที่ 1 กระทำลงไปตามลำพัง จำเลยที่ 2 มิได้สมคบร่วมรู้เห็นมาก่อน ดังนั้นแม้จำเลยที่ 2 จะเห็นการโต้ตอบระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 และเห็นจำเลยที่ 1 แย่งเอกสารจากผู้เสียหายซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ โดยมีพนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาณ 20คน ยืนล้อมผู้เสียหายอยู่และจำเลยที่ 2 ยอมรับเอกสารดังกล่าวมาเก็บรักษาไว้ก็ตามก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผลของการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ฎีกา เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มีการกระทำใด ๆ ที่ส่อแสดงว่ามีการยอมรับการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำต่อผู้เสียหาย ทั้งจำเลยที่ 2 ก็มิได้มีหน้าที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลร้ายจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่รับเอกสารจากจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างมาเก็บรักษาไว้ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share