คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4225-4226/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ อ. พยานโจทก์เบิกความไม่ตรงกับที่โจทก์และพยานโจทก์ปากอื่นเบิกความ แต่คำเบิกความของ อ. กลับเจือสมกับที่จำเลยให้การ ทำให้ข้อต่อสู้และพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์นั้น หากโจทก์เห็นว่า อ. ซึ่งเป็นพยานที่ฝ่ายโจทก์อ้างมาเบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เอง โจทก์ก็อาจขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. เสมือนหนึ่งเป็นพยานซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคหก แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถาม อ. พยานโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นพยานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังนี้จะถือว่า อ. เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ยังไม่ได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 1 สำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและลวดหนามออกจากที่ดินของโจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้องและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 60,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเสารั้วคอนกรีตและลวดหนามออกจากที่ดินของโจทก์

ก่อนจำเลยที่ 2 สำนวนหลัง ยื่นคำให้การ โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 สำนวนหลังศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่พิพาทตามฟ้องเป็นที่ดินของจำเลยที่ 2 ซึ่งซื้อมาจากโจทก์แล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2511 ถึงปัจจุบัน ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่พิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์และบริวารโจทก์เกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยตกลงซื้อที่พิพาทจากโจทก์ เพียงแต่ขออาศัยใช้ประโยชน์ จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิอาศัยในที่พิพาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เมื่อปี 2511 โจทก์ได้ให้จำเลยที่ 2 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าของโจทก์

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 2 มีสิทธิครอบครองที่พิพาท เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ขออาศัยที่พิพาทเพื่อกิจการทำเหมืองแร่ของจำเลยที่ 2 โดยสัญญาว่าเมื่อเลิกทำเหมืองแร่แล้วจะออกไปจากที่พิพาท แต่เมื่อเลิกทำเหมืองแร่แล้วจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปกลับปักเสาคอนกรีตกั้นรั้วลวดหนามในที่พิพาทเพื่อแย่งการครอบครองเอาเป็นของจำเลยที่ 2 และในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่านายอุทัย ผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ขอเช่าที่พิพาทเพื่อกิจการทำเหมืองแร่โดยให้ค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ต่อมาได้ขออาศัยที่พิพาทโดยให้ค่าตอบแทน 5,000 บาท เมื่อเลิกกิจการทำเหมืองแร่แล้วจะคืนที่พิพาทให้ และนางสาวปราณี ชัยสนิท บุตรโจทก์ซึ่งเป็นพยานโจทก์ก็เบิกความเช่นเดียวกันกับโจทก์ แต่นายอุทัยพยานโจทก์เองกลับเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากโจทก์เพื่อกิจการทำเหมืองแร่ของจำเลยที่ 2 คำเบิกความของนายอุทัยจึงไม่ตรงกับที่โจทก์และนางสาวปราณีเบิกความ แต่คำเบิกความของนายอุทัยกลับเจือสมกับที่จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากโจทก์และสอดคล้องกับที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากโจทก์เพื่อกิจการทำเหมืองแร่เมื่อซื้อมาแล้วได้เข้าครอบครองตลอดมา ข้อต่อสู้และพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า นายอุทัยเบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้นั้น ก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ เพราะหากโจทก์เห็นว่านายอุทัยซึ่งเป็นพยานที่ฝ่ายโจทก์อ้างมาเบิกความเป็นปรปักษ์แก่โจทก์เอง โจทก์ก็อาจขออนุญาตต่อศาลเพื่อซักถามนายอุทัยเสมือนหนึ่งเป็นพยานซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคหก แต่ก็ไม่ปรากฏในสำนวนความว่าทนายโจทก์ได้ขออนุญาตต่อศาล เพื่อซักถามนายอุทัยพยานโจทก์เสมือนหนึ่งเป็นพยานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างมา ดังนี้จะถือว่า การที่นายอุทัยพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงตามประสงค์ของโจทก์ เป็นการเบิกความเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ตามที่อ้างมายังไม่ได้

พิพากษายืน

Share