แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เหตุเกิดเวลากลางวัน แม้โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่ขณะเกิดเหตุพยานอยู่ห่างคนร้ายประมาณ 1 วา และน่าเชื่อว่าพยานไม่ตกใจถึงกับจะไม่รับรู้เหตุการณ์ คนร้ายปฏิบัติการอยู่นานมีการยิงซ้ำผู้ตาย พยานวิ่งไปประมาณ 10 เมตร แล้วได้หันกลับมามองเห็นจำเลยยิงผู้ตายซ้ำ ในชั้นสอบสวนพยานให้การยืนยันว่าจำคนร้ายได้ และให้การถึงรูปพรรณคนร้ายในคดีที่ จ. ถูกฟ้องว่าเป็นคนร้ายคนหนึ่ง พยานก็ได้เบิกความยืนยัน เมื่อจับตัวจำเลยได้แล้วพยานก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องไม่ลังเลใจ และได้ลงชื่อรับรองความถูกต้องของบันทึกการชี้ตัวไว้ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ นอกจากนี้ในคดีที่ จ. ถูกฟ้อง จ. รับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยและ พ. กระทำผิด แม้ตามปกติคำซัดทอดระหว่างผู้ต้องหาด้วยกันจะไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง แต่เมื่อฟังประกอบกับคำประจักษ์พยานโจทก์แล้ว ย่อมสนับสนุนคำของประจักษ์พยานให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวแล้ว จึงมีน้ำหนักเพียงพอฟังได้โดยมั่นคงว่าจำเลยร่วมกับ จ. และพวกเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายเจือหรือปี๊ด กลิ่นหอม และพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายเทพ เบญจพงศ์ หลายนัด เป็นเหตุให้นายเทพถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ โดยจำเลยกับพวกได้กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288, 289
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 83 ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) คงให้จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ผู้ตายมีชื่อเป็นภาษาจีนว่า กิมเฮงหรือเฮงมีพี่น้องร่วมบิดามารดาสามคน คือ นางพรพรรณ ทองประไพ ผู้ตายและนางสาวพรรณี ตติยะวณิชย์ ก่อนตายผู้ตายประกอบอาชีพเปิดร้านค้าขายอาหารและส่งปิ่นโตอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่วนนางพรพรรณและนางสาวพรรณียังประกอบกิจการอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ปี พ.ศ. 2526นางสาวพรรณีถูกคนร้ายยิงตายที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีทรัพย์มรดกของนางสาวพรรณีตกแก่นางพรพรรณ และผู้ตาย ปี พ.ศ. 2527นางพรพรรณถึงแก่ความตายด้วยโรคชรา นายวันชัย ทองประไพ บุตรนางพรพรรณจึงมีสิทธิรับมรดกนางสาวพรรณีแทนที่นางพรพรรณ ปี พ.ศ. 2527นั้นเอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผุ้ตายกับนายวันชัยร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวพรรณี มีการจัดแบ่งมรดกให้ที่ดินที่ตั้งโรงภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์เมืองทองตกเป็นของนายวันชัย นอกนั้นตกได้แก่ผู้ตายทั้งหมด ต่อมาผู้ตายอ้างว่านางสาวพรรณีมีหนี้สินมากส่วนแบ่งของผู้ตายที่เป็นเจ้าหนี้ก็ต้องไปฟ้องร้องลูกหนี้ ผู้ตายจึงมาขอส่วนแบ่งเป็นเงินเพิ่มจากนายวันชัย นายวันชัยไม่พอใจแต่ไม่อยากเป็นความจึงตกลงให้เงิน 1,000,000 บาทแก่ผู้ตายมีข้อแม้ว่าต้องขายโรงภาพยนตร์ดังกล่าวให้ได้เสียก่อน วันที่ 13 สิงหาคม 2528ผู้ตายได้มาจังหวัดสุพรรณบุรี พักที่โรงแรมศรีสุพรรณ ห้อง 202นายวันชัยได้ว่าจ้างให้นายไพรินทร์หรือเบ้ง ไพชยนต์ ฆ่าผู้ตายในราคา 20,000 บาท นายไพรินทร์ได้ขอให้จำเลยกับนายเจือร่วมมือด้วย วันที่ 16 สิงหาคม 2528 นายไพรินทร์พาจำเลยและนายเจือไปดูผู้ตายที่หน้าโรงแรมศรีสุพรรณแต่ไม่พบจึงพากันไปที่โรงภาพยนตร์เมืองทอง นายไพรินทร์พูดคุยกับนายวันชัยจนกระทั่งเวลา 21.30นาฬิกา นายไพรินทร์ขับรถพาจำเลยกับนายเจือไปที่โรงแรมศรีสุพรรณอีกนายไพรินทร์ให้จำเลยกับนายเจือขึ้นไปฆ่าผู้ตายบนโรงแรม จำเลยกับนายเจือขึ้นไปเคาะประตูห้อง 202 แต่ผู้ตายไม่ยอมเปิดประตูจึงตกลงกันจะยิงผู้ตายในเช้าวันรุ่งขึ้น คืนนั้นจำเลยกับนายเจือไปพักนอนที่บ้านนายสมปอง สุขสม รุ่งเช้าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 6นาฬิกา นายไพรินทร์ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยและนายเจือไปที่โรงแรมศรีสุพรรณ จอดรถรออยู่ที่หน้าโรงแรม เวลา 7.30 นาฬิกาผู้ตายลงมาจากโรงแรมว่าจ้างนายอี่ สุรินทร์รัตน์ ถีบรถจักรยานสามล้อไปส่งที่บ้านนายเม้ง แซ่แต้ นายไพรินทร์ขับรถตามไปห่าง ๆ จนกระทั่งเวลา 7.45 นาฬิกา ถึงที่ปลอดคน นายไพรินทร์ได้ขับรถเบียดรถจักรยานสามล้อจนนายอี่ต้องหยุดรถ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลง นายอี่ตกใจวิ่งหนีไปข้างหน้า จำเลยเปิดประตูรถลงมาจ่อยิงผู้ตายอีก 2 นัด ผู้ตายถึงแก่ความตายทันที แล้วจำเลยขึ้นรถโดยนายไพรินทร์ขับพาหลบหนีไป นายอี่กลับมาเอารถจักรยานสามล้อไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ยืนยันว่าจำคนร้ายทั้งสามคนได้ พันตำรวจโททองหล่อ เรืองฉาย สารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีสืบสวนได้ความว่าคนร้ายรายนี้คือจำเลย นายเจือและนายไพรินทร์ จึงพากันไปที่บ้านของคนทั้งสาม ไม่พบจำเลยกับนายไพรินทร์ คงพบแต่นายเจือ ได้จับกุมตัวนายเจือไว้ ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนายเจือให้การรับสารภาพ พนักงานอัยการฟ้องนายเจือในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นายเจือรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 50 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมา วันที่ 1 มิถุนายน2532 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ที่ซอยรุ่งอรุณ เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร จำเลยรับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายเจือและนายไพรินทร์ฆ่าผู้ตายโดยจำเลยเป็นคนลงมือยิงด้วยตนเองและได้ส่งตัวจำเลยไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จำเลยได้พบกับทนายความ ทนายความแนะนำให้จำเลยปฏิเสธ ชั้นสอบสวนจำเลยจึงให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนจัดให้นายอี่ชี้ตัวจำเลย นายอี่ชี้ได้ถูกต้องโดยปราศจากการลังเล
จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ และว่าเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยลงชื่อในบันทึกการจับกุมโดยไม่ยอมให้อ่าน ส่วนการชี้ตัวจำเลยพนักงานสอบสวนก็จับมือนายอี่พยานชี้ตัวจำเลย ให้เจ้าพนักงานตำรวจอีกคนหนึ่งถ่ายรูปไว้ โดยจำเลยไม่ได้กระทำความผิด
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่17 สิงหาคม 2528 เวลา 7.30 นาฬิกา นายเทพผู้ตายลงจากโรงแรมศรีสุพรรณนั่งรถจักรยานสามล้อรับจ้างไปตามถนนพันคำ ตำบลท่าพี่เลี้ยงอำเภอเมืองสุพรรณบุรี ถึงที่เกิดเหตุถูกนายเจือ จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 1696/2528 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วร่วมกับพวกขับรถยนต์กระบะเบียดรถจักรยานสามล้อ แล้วใช้อาวุธปืนยิงนายเทพจนถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับนายเจือฆ่าผู้ตายหรือไม่โจทก์มีนายอี่คนถีบรถจักรยานสามล้อเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าขณะที่พยานกำลังถีบรถจักรยานสามล้อบรรทุกผู้ตายมาตามถนนพันคำมีรถยนต์กระบะแล่นตามมาและขับเบียดรถพยานด้านขวามือ พยานหยุดรถจักรยานสามล้อ มองเห็นคนในรถยนต์กระบะทั้งสามคน จำเลยนั่งริมซ้ายสุด พอรถหยุดจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที 1 นัดขณะที่ผู้ตายกำลังจะก้าวลงจากรถจักรยานสามล้อ ผู้ตายล้มลงบนถนนพยานตกใจลงจากรถวิ่งไปข้างหน้าประมาณ 10 เมตร หันกลับมามองเห็นจำเลยยิงผู้ตายอีก 2 นัด แล้วจำเลยกับพวกก็ขึ้นรถยนต์กระบะหลบหนีไปเห็นว่า คดีนี้เหตุเกิดในเวลากลางวัน ขณะเกิดเหตุคนร้ายอยู่ห่างนายอี่พยานประมาณ 1 วาเท่านั้น ตามคำเบิกความของนายอี่ ก็ว่าที่แรกพยานเข้าใจว่าจะเป็นการจี้ชิงทรัพย์ ไม่คิดว่าจะยิงกัน ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าพยานคงไม่ตกใจถึงกับจะไม่รับรู้เหตุการณ์ ทั้งคนร้ายก็ปฏิบัติการอยู่นาน มีการยิงซ้ำผู้ตายอีก ซึ่งนายอี่วิ่งไปประมาณ10 เมตรก็ยังได้หันกลับมามองเห็นจำเลยจ่อยิงซ้ำอีกด้วย เฉพาะอย่างยิ่ง นายอี่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุก็ยืนยันว่าจำคนร้ายได้ทั้งสามคน และได้ให้การถึงรูปพรรณของคนร้ายแต่ละคนในคดีที่นายเจือถูกฟ้องว่าเป็นคนร้ายคนหนึ่งนั้น นายอี่ก็เบิกความยืนยันต่อศาลว่านายเจือเป็นคนร้ายที่นั่งกลาง ในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุไม่ถึงสามเดือน เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้พยานดูรูปถ่ายของจำเลย พยานก็ยืนยันว่าคนในรูปถ่ายเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายนอกจากนี้เมื่อพนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวคนร้าย นายอี่พยานก็ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องโดยไม่มีการลังเลใจ และจำเลยก็ลงชื่อรับรองความถูกต้องของบันทึการชี้ตัวดังกล่าว ดังนั้นที่จำเลยว่า ตอนชี้ตัวจำเลยนายอี่พยานมีอาการมึนเมา และลังเลก็ดีเจ้าพนักงานตำรวจจับมือให้ชี้ก็ดี ล้วนแต่รับฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านการชี้ตัวในชั้นสอบสวนแต่อย่างใดยิ่งไปกว่านั้นในชั้นจับกุมจำเลยก็รับสารภาพโดยความสมัครใจว่าได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายจำเลยเป็นคนลงมือยิงผู้ตายและได้รับเงินส่วนแบ่งจากการฆ่าผู้ตาย 2,500 บาท และตามคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธ โดยจะไปให้การชั้นพิจารณาคดีก็ตาม จำเลยก็ยอมรับว่าในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ เหตที่ปฏิเสธในชั้นสอบสวนก็เพราะจำเลยได้พบกับทนายความของจำเลย ทนายความแนะนำให้จำเลยให้การปฏิเสธ เห็นว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าวด้วยความสมัครใจ ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ทำหรือจัดให้ทำการใด ๆ ซึ่งเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญ หรือให้สัญญากับจำเลยเพื่อจูงใจให้จำเลยให้การอย่างใด ๆในเรื่องฆ่าผู้ตาย ดังนั้นคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมจึงใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้ นอกจากนี้ในคดีที่นายเจือถูกฟ้อง นายเจือรับสารภาพว่า ร่วมกับจำเลยและนายไพรินทร์กระทำผิดมีลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ตามปกติหากโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นลำพังคำให้การซัดทอดระหว่างผู้ต้องหาด้วยกันย่อมไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง แต่คดีนี้โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย ดังนั้นคำซัดทอดของนายเจือดังกล่าวย่อมรับฟังประกอบสนับสนุนคำของประจักษ์พยานโจทก์ให้มีน้ำหนักรับฟังยิ่งขึ้น เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยมาประกอบกันมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกับนายเจือและพวกเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีมีเหตุสงสัย และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.