คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้รับฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จค่าฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยขนทรัพย์สินของโจทก์ที่ฝากไว้ออกจากสถานที่รับฝากโดยหลบหนีภาษีศุลกากร จนทรัพย์สินของโจทก์ถูกยึดเป็นของกลางในคดีอาญา แสดงว่าจำเลยขาดความระมัดระวังไม่ใช้ฝีมือสงวนทรัพย์สินของโจทก์เช่นวิญญูชน หาใช่เหตุสุดวิสัยเมื่อจำเลยคืนทรัพย์สินที่ฝากไม่ได้ จำเลยต้องใช้ราคา โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องค่าเสียหายประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้จึงถึงที่สุดแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำกระเป๋าเดินทางจำนวน 4 ใบ น้ำหนักรวม98 กิโลกรัมประกอบด้วยทรัพย์สินหลายรายการฝากไว้แก่เจ้าหน้าที่รับฝากทรัพย์ของจำเลยที่ด่านศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยได้ชำระค่าฝากทรัพย์เป็นเงิน 800 บาท เมื่อโจทก์ไปขอรับทรัพย์สินที่ฝากไว้คืน เจ้าหน้าที่ของจำเลยไม่คืนให้โดยแจ้งว่าทรัพย์สินหายไปจากคลังสินค้า ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ จำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายในกรณีที่โจทก์ต้องอยู่ในประเทศไทยวันละ 1,000 บาท หรือค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาดำเนินคดีจนกว่าคดีถึงที่สุด
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยนำทรัพย์สินใด ๆ ฝากไว้แก่จำเลยหรือเจ้าหน้าที่ของจำเลยและไม่ได้รับเงินค่าฝากทรัพย์กระเป๋า 4 ใบจำนวน 800 บาท โจทก์เคยติดต่อกับจำเลยในเรื่องของกลางคดีอาญาโดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2529 เวลากลางวัน เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายได้ร่วมกันจับกุมนายธานี ผาสุขเวชพรกับพวก ในข้อหาร่วมกันลักลอบนำของหลบหนีศุลกากรออกจากคลังสินค้าได้พร้อมด้วยของกลางหลายรายการ ยึดของกลางทั้งหมดไว้ตามกฎหมายศุลกากร และได้เก็บรักษาไว้ตามระเบียบของทางราชการ ได้ส่งตัวนายธานีกับพวกแก่พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญา ขณะนี้คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์เคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของจำเลยเพื่อขอรับทรัพย์สินบางส่วนของของกลางในคดีอาญาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ไปติดต่อกับพนักงานสอบสวนซึ่งมีอำนาจยึดของกลางไว้ตามกฎหมาย และเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะยึดของกลางดังกล่าวไว้เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดและค่าเสียหายตามฟ้องสูงกว่าความเป็นจริงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 125,626บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 56,547 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฝากทรัพย์สินไว้แก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยโดยมีบำเหน็จค่าฝาก จำเลยผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดั่งนั้น แต่การที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยใช้รถของจำเลยขนทรัพย์สินของโจทก์ออกไปโดยหลบหนีภาษีศุลกากรจนทรัพย์สินของโจทก์ถูกยึดเป็นของกลางระหว่างดำเนินคดีอาญา แสดงว่าจำเลยขาดความระมัดระวังไม่ใช้ฝีมือสงวนรักษาทรัพย์สินของโจทก์ที่รับฝากไว้เช่นวิญญูชนจะรักษาทรัพย์สินนั้น หาใช่เหตุสุดวิสัยไม่ เมื่อโจทก์ไปขอรับทรัพย์สินที่ฝากไว้คืน จำเลยผู้รับฝากจำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งฝากไว้นั้นให้แก่โจทก์ผู้ฝาก เมื่อจำเลยคืนทรัพย์สินที่ฝากไม่ได้ จำเลยต้องใช้ราคา
ที่โจทก์แก้ฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 162,000 บาทแก่โจทก์นั้น โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือว่าโจทก์พอใจแล้ว ประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้ถึงที่สุดไปแล้วศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share