แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลสั่งให้คู่ความไปนำชี้ในการทำแผนที่พิพาทพร้อมทั้งระบุว่าหากโจทก์ไม่ไปนำชี้ถือว่าทิ้งฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่ไปนำชี้ตามที่ศาลกำหนด จึงถือว่าเป็นการไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนดไว้เพื่อการนั้น อันเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ศาลชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีได้ตามมาตรา 132(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า บิดาโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2ร่วมกันซื้อสวนยางพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่ต่อมาถูกจำเลยที่ 3 แย่งการครอบครองเพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขายสวนยางพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 อีกโดยไม่มีอำนาจ บิดาโจทก์ที่ 1ถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจึงร่วมกับโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินสวนยางพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยทั้งสามเข้ายุ่งเกี่ยว
จำเลยที่ 1 ให้การว่า สวนยางพิพาทเดิมเป็นของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 เคยทำสัญญาจะขายให้บิดาโจทก์ที่ 1 คนเดียวแต่ก็ยกเลิกไปขณะนี้จำเลยที่ 1 ได้ขายและมอบการครอบครองให้จำเลยที่ 3 แล้วฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมและขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า สวนยางพิพาทเป็นของจำเลยที่ 3ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง และขอให้ห้ามโจทก์ทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3สมคบกับจำเลยที่ 1 แกล้งกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 ขายสวนยางพิพาทให้จำเลยที่ 3 ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าสวนยางพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้งสองแถลงขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต
ก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่พิพาท ต่อมาจำเลยที่ 3ยื่นคำแถลงลงวันที่ 26 เมษายน 2534 ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ไปนำชี้แนวเขตที่พิพาทตามคำสั่งศาล ขอให้สั่งว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ทั้งสองไม่ไปนำชี้แนวเขตเพื่อทำแผนที่พิพาททำให้ต้องเลื่อนคดีหลายครั้ง เป็นการประวิงคดีและเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนด จึงมีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดี
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่1 มีนาคม 2533 ความว่าการทำแผนที่พิพาทนั้น ถึงวันนัดถ้าฝ่ายใดไม่ไปตามนัดก็ยอมให้ฝ่ายที่ไปนำชี้ไปโดยถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ค้านและต่อมาได้ความว่าฝ่ายโจทก์ไม่ไปนำชี้ เจ้าหน้าที่ที่ดินต้องเลื่อนวันนัดไปหลายครั้ง จนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม 2534 นายอำเภอจะนำทำหนังสือแจ้งศาลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ไปติดต่อ ศาลมีคำสั่งว่ามีหมายถึงตัวความจะจัดการอย่างไรต่อไปให้โจทก์และจำเลยแถลงภายใน7 วัน หากโจทก์ไม่ดำเนินการถือว่าทิ้งฟ้อง และได้ออกคำสั่งเรียกตัวความ ทนายโจทก์รับคำสั่งไปวันที่ 22 มกราคม 2534 วันที่ 23มกราคม 2534 ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงข้อขัดข้องในการทำแผนที่พิพาทศาลสั่งนัดพร้อมวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2534 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดพร้อม ศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาความว่า ในการนำชี้หากโจทก์ไม่ไปถือว่าทิ้งฟ้อง หากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ไป ก็ให้โจทก์นำชี้ไปฝ่ายเดียว ทนายโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 3 รับหนังสือไปนัดกับเจ้าพนักงานให้ออกไปรังวัดที่ดินในวันที่ 9 ถึงวันที่ 13 เมษายน2534 แต่ในวันที่ 11 ถึงวันที่ 13 เมษายน 2534 โจทก์ทั้งสองไม่ไปนำชี้ที่พิพาทเพื่อให้เจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนเสร็จ เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้บันทึกรายงานกระบวนพิจารณาให้โจทก์ทราบชัดแล้วว่า หากโจทก์ไม่ไปนำชี้ถือว่าทิ้งฟ้อง ฉะนั้นเมื่อโจทก์ไม่ไปนำชี้ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงถือว่าเป็นการไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนดไว้เพื่อการนั้น อันเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ส่วนการที่ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้นายอำเภอจะนะแจ้งนั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาคดีต่อไป ข้ออ้างดังกล่าวหาเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองยกขึ้นแก้ตัวได้ไม่
พิพากษายืน