แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทโดยเข้าครอบครองทำประโยชน์และรับโอนทางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกทับที่พิพาทซ้ำกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับที่โจทก์รับจำนองและยึดถือไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อนจึงไม่มีทางที่โจทก์จะมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนองได้ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองตามความมุ่งหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 โจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 1,296,399.50 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยจำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือนแต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระโจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3316 เล่ม 34 ก. หน้า 16 เลขที่ดิน 93 ตำบลหนองกี่อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำนองไว้แก่โจทก์ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องซื้อมาจากบุคคลภายนอกโดยสุจริต และโจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้องโจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลสั่งปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การว่า จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2524 จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่บุคคลใด ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวที่ดินของผู้ร้องเป็นคนละแปลงกับที่ดินพิพาทขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูกเป็นยกคำร้อง)
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3316 ตำบลหนองกี่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสองโดยมิได้บอกกล่าวไปยังผู้ร้องด้วย
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์บังคับจำนองโดยมิได้มีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองล่วงหน้าเดือนหนึ่งได้หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องมิใช่ผู้รับโอนโดยชอบนายวิบูลย์และนายประสงค์ล้วนเป็นกรรมการบริษัทผู้ร้อง ได้โอนที่ให้ผู้ร้องโดยไม่สุจริตเป็นการฉ้อฉลโจทก์เพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันนั้นโจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่อย่างไรก็ดี ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทโดยเข้าครอบครองทำประโยชน์และรับโอนทางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกทับที่พิพาทซ้ำกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับที่โจทก์รับจำนองและยึดถือไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อนจึงไม่มีทางที่โจทก์จะมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนองได้ การที่ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทมาในลักษณะดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า เป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองตามความมุ่งหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 โจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าโจทก์ยังมิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำยึดที่พิพาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น