แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลฎีกาพิจารณาอุทธรณ์ทั้งฉบับของจำเลยทั้งสองที่โต้แย้งคัดค้านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตลอดจนพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลตามคำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลาง ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์นั้นจึงไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 26 วรรคห้า ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยข้ออุทธรณ์ในคดีล้มละลายที่ไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาฯ ข้อ 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ก่อนการฟ้องคดีล้มละลาย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า การโอนขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กับโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายประกอบกับก่อนฟ้องคดีโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้จึงไม่อาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายได้นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฉบับทั้งฉบับตลอดจนพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลตามคำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลาง ข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์นั้นจึงไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 26 วรรคห้า ประกอบด้วยระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยข้ออุทธรณ์ในคดีล้มละลายที่ไม่สมควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา พ.ศ.2547 ข้อ 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง