คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นเกิดขึ้นในทะเลหลวงนอกราชอาณาจักร ศาลไทยจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยในข้อหาความผิดต่อชีวิตตามมาตรา 8(4) ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8(ก) เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายเป็นใคร และไม่ปรากฏว่าจะมีผู้ใดซึ่งสามารถจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5(2) ดำเนินการร้องขอให้ศาลไทยลงโทษ จึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ไว้แยกต่างหากจากข้อหาฆ่าและพยายามฆ่า โดยไม่ได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้ายจึงเป็นการเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 หลังจากที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ได้แล้ว ถอยเรือไปอยู่ห่างจากเรือของผู้เสียหายกับพวกประมาณ 20 เมตร เพื่อรอดู การที่เรือประมงของพวกจำเลยอีก 2 ลำ เข้ามาปฏิบัติการเทียบกับเรือผู้เสียหายเมื่อเรือประมงดังกล่าวปฏิบัติการเสร็จแล้ว โดยนำหญิงในเรือของผู้เสียหายขึ้นไปบนเรือแล้วแล่นออกไป จำเลยกับพวกได้ขับเรือประมงพุ่งเข้าชนเรือผู้เสียหาย จนมีพวกของผู้เสียหายตกทะเลหายไปประมาณ20 คน ดังนี้ การกระทำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะเป็นเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องจากการได้ทรัพย์และพาเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไป จำเลยกับพวกต้องการให้ผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายก็เพื่อปกปิดการที่ตนกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ การพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปัญหาว่าศาลไทยลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดต่อชีวิตที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษเกินคำขอหรือไม่ การกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นกรรมเดียวกันหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195,225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2533 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยกับพวกอีก 7 คน ซึ่งหลบหนีได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
ก. จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดและขวานเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ของนางสาวลี้ ง๊อก แอม ผู้เสียหายที่ 1, นายฟาม วัน บาผู้เสียหายที่ 2, นายเจิน ฮุง ผู้เสียหายที่ 3,นายเหงียน วัน ยาน ผู้เสียหายที่ 4 ไปโดยทุจริต โดยจำเลยกับพวกใช้อาวุธมีดและขวานที่นำติดตัวไปจี้บังคับขู่เข็ญว่า ทันใดนั้นจะแทงและฟันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกรวมประมาณ 191 คนซึ่งเป็นคนสัญชาติเวียดนามอพยพมาจากประเทศเวียดนามด้วยเรือยนต์ไม้ ให้ถึงแก่ความตายหากขัดขืนเพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ และยึดถือเอาทรัพย์ไว้ โดยการปล้นทรัพย์ดังกล่าวจำเลยกับพวกใช้เรือยนต์ที่ใช้ในการทำประมงเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิด พาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นจากการจับกุม
ข. หลังจากกระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยกับพวกได้ร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่และชาวเวียดนามรวม 191 คนซึ่งร่วมโดยสารเรือยนต์ไม้ให้ถึงแก่ความตาย เพื่อปกปิดความผิดและให้พ้นจากอาญา โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้เรือยนต์ประมงซึ่งได้ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดแล่นพุ่งเข้าชนเรือยนต์ไม้ที่ผู้เสียหายทั้งสี่กับชาวเวียดนามโดยสารอยู่ เป็นเหตุให้ชาวเวียดนามซึ่งไม่ทราบชื่อตกทะเลถึงแก่ความตายจำนวน 20 คน สมดังเจตนาของจำเลยกับพวก ส่วนผู้เสียหายทั้งสี่และผู้ที่เหลือรวมจำนวน 171 คน พยายามช่วยเหลือตนเอง ประกอบกับมีผู้พบเห็นและทำการช่วยเหลือไว้ได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เหตุเกิดในทะเลหลวงนอกราชอาณาจักรไทย ในวันที่ 8 สิงหาคม 2534 เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้และพนักงานสอบสวนได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้ทำการสอบสวนโดยชอบแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289,340, 340 ตรี, 80, 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7), 80, 83 กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ให้ประหารชีวิตและมาตรา 340 วรรคท้าย, 340 ตรี อีกกระทงหนึ่งให้ประหารชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิตสถานเดียว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุที่โจทก์ฟ้องมีคนร้ายหลายคนมีมีดและขวานเป็นอาวุธ ใช้เรือประมงเป็นยานพาหนะทำการปล้นทรัพย์ พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกซึ่งเป็นชาวเวียดนามขณะหลบหนีจากประเทศเวียดนามอยู่บนเรือยนต์และฆ่าพวกของผู้เสียหายซึ่งอยู่บนเรือยนต์ดังกล่าวอีกประมาณ 20 คนทั้งนี้เพื่อปกปิดความผิดฐานปล้นทรัพย์และหลีกเลี่ยงให้พ้นจากอาญาในความผิดดังกล่าว เหตุเกิดในทะเลหลวง นอกราชอาณาจักรไทย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่ง พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายพยานจำเลยไม่มีน้ำหนัก หักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่เห็นว่าคดีนี้ ความผิดเกิดขึ้นในทะเลหลวง นอกราชอาณาจักรศาลไทยจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยในข้อหาความผิดต่อชีวิตตามมาตรา 8(4) ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 8(ก) แต่คดีนี้ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายเป็นใครบ้าง และไม่ปรากฏว่าจะมีผู้ใดซึ่งสามารถจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5(2) ดำเนินการร้องขอให้ศาลไทยลงโทษ ที่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ขอให้ลงโทษตามเอกสารหมาย จ.6 ก็เฉพาะนางสาวลี้ ง๊อก แอม นายฟาม วัน บา นายเหงียน วัน ยาน และนายเจิน ฮุง ที่ถูกปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเท่านั้น ฉะนั้นจึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นมาด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่ามีผู้เสียหายขอให้ลงโทษนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้ายด้วยนั้น เป็นการเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 เพราะโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ไว้ในข้อ 1 ก. แยกต่างหากจากข้อหาฆ่าและพยายามฆ่าซึ่งอยู่ในข้อ 1 ข. เพียงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดและขวานเป็นอาวุธในการปล้นทรัพย์ โดยใช้เรือยนต์ซึ่งใช้ในการประมงเป็นยานพาหนะเท่านั้น ไม่ได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยดังกล่าวคงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดและเห็นว่าหลังจากที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ได้แล้วถอยเรือไปอยู่ห่างจากเรือของผู้เสียหายกับพวกประมาณ 20 เมตรเพื่อรอดูการที่เรือประมงลำที่ 3 และลำที่ 4 เข้ามาปฏิบัติการเทียบกับเรือผู้เสียหาย แล้วลูกเรือประมงลำที่ 3 ขึ้นไปพาผู้หญิงเวียดนาม 6 คน ขึ้นไปบนเรือประมงลำที่ 3 เสร็จแล้ว เรือประมงลำที่ 3 และลำที่ 4 จึงแล่นออกไป หลังจากนั้นจำเลยกับพวกขับเรือประมงพุ่งเข้าชนเรือผู้เสียหาย จนมีพวกของผู้เสียหายตกทะเลหายไปประมาณ 20 คน นั้น ยังอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์ เพราะเป็นเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องจากการได้ทรัพย์และพาเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไปเจตนาที่จำเลยกับพวกต้องการให้ผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายก็เพื่อปกปิดการที่ตนกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นเอง การพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ปัญหาเหล่านี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195, 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83ฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 289(7), 80, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 289(7), 80 ประกอบมาตรา 52(1)ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต และให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฆ่าผู้อื่น

Share