แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้โจทก์นำเงินหรือหาหลักประกันมาวางศาล เกี่ยวกับปัญหาการอายัดตั๋วสัญญาใช้เงินคดีนี้ซึ่งเป็นปัญหาฟ้องร้องกันระหว่างจำเลยและผู้ร้องอีกคดีหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าคดีระหว่างจำเลยและผู้ร้องถึงที่สุด โดยศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินโจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่อายัดนอกจากนี้ผู้ร้องยังได้ยื่นคำร้องว่าไม่ติดใจให้โจทก์นำเงินหรือหลักทรัพย์ใดมาวางต่อไป ดังนั้นคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดี แต่คดีนี้จะจำหน่ายคดีโดยให้คงคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้โจทก์นำเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลอีกจะเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้จำหน่ายคดีเสีย
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยตามตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 5/2527 ไปยังผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ให้ผู้ร้องส่งเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 10 วัน นับแต่ได้รับหนังสือกรรมการผู้จัดการของผู้ร้องแถลงว่าการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวกระทำโดยไม่ชอบ และขณะนี้มีการฟ้องร้องกันอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 18351/2529 ของศาลชั้นต้น จึงไม่อาจส่งเงินตามอายัดได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 10 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง มิฉะนั้นอาจถูกบังคับคดีเสมือนหนึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งและขอทุเลาการบังคับคดีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2530ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้ร้องจึงอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ และขอทุเลาการบังคับคดีเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 และผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ตกอยู่ภายใต้การบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดและจะขอต่อสู้คดีจนถึงที่สุดต่อไป จึงขอนำสมุดเงินฝากประจำธนาคารกสิกรไทยจำนวนเงิน 690,000 บาท เท่าที่ศาลกำหนดมาวางต่อศาลเพื่อประกันการชำระหนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นกรณีที่ผู้ร้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234แต่สมุดเงินฝากอาจมีปัญหา จึงให้ผู้ร้องนำเงินสดหรือหาประกันอื่นที่มั่นคงมาวางต่อศาลภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะไม่รับอุทธรณ์คำสั่งต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม 2530 ผู้ร้องยื่นคำแถลงว่าได้วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2530ก่อนศาลมีคำสั่งนี้ถึง 10 วัน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป ครั้นวันที่ 30 กันยายน 2531ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ร้อง และวันที่ 5 มิถุนายน2533 ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องส่งเงินตามหมายอายัด และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวน ผู้ร้องยื่นคำร้องลงวันที่1 ตุลาคม 2533 ว่า ผู้ร้องได้นำเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินรายพิพาทจำนวน 690,000 บาท ไปวางไว้ที่กรมบังคับคดี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม2530 เพื่อป้องกันมิให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์ของผู้ร้องโดยมิได้มีเจตนาที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เพราะคดียังมีข้อโต้แย้งกันอยู่แต่กรมบังคับคดีได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้วโดยมิได้รอฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ก่อน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกหมายเรียกเงินจำนวน 690,000 บาท ที่จ่ายให้โจทก์คืนมาไว้ที่กรมบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เงินจำนวนดังกล่าวผู้ร้องส่งมาตามหมายอายัดเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิรับไปได้ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินจำนวน 690,000 บาทหรือหาหลักประกันเท่าจำนวนเงินดังกล่าวมาวางต่อศาลภายใน 2 เดือน
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะต้องนำเงินจำนวน 690,000 บาทหรือหาประกันเท่าจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลภายใน 2 เดือนดังศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นหรือไม่ เห็นว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 5/2527 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2527 จำนวนเงิน 690,000 บาทซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดแล้วเกิดปัญหาเป็นคดีนี้และเป็นปัญหาฟ้องร้องกันระหว่างจำเลยและผู้ร้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 18351/2529 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าคดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2536 ซึ่งวินิจฉัยให้ผู้ร้องชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่อายัด นอกจากนี้ผู้ร้องยังได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 20 เมษายน 2537 ยืนยันว่าผู้ร้องไม่ติดใจที่จะให้โจทก์นำเงินจำนวน 690,000 บาท หรือหลักทรัพย์ใด ๆ มาวางไว้ต่อไปดังนี้คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ แต่คดีนี้จะจำหน่ายคดีโดยให้คงคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้โจทก์นำเงินจำนวน690,000 บาท หรือหาหลักประกันเท่าจำนวนเงินดังกล่าวมาวางต่อศาลอีกจะเป็นการไม่ชอบ เพราะคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 18351/2529ถึงที่สุดแล้ว โดยจำเลยชนะคดีผู้ร้อง โจทก์มีสิทธิได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามที่อายัด
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ