คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6164/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจระบุให้ อ. ดำเนินคดีทางศาลแทนโจทก์ได้ทั่วไปในคดีทุกชนิด ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีล้มละลายจึงเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไป แม้โจทก์จะได้มอบอำนาจโดยมิได้ระบุให้ฟ้องผู้ใดเป็นจำเลย และมอบอำนาจไว้นานเพียงใด อ. ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์โดยไม่จำต้องมีหนังสืออนุญาตจากโจทก์ให้ฟ้องจำเลยอีก ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจำนวนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระโจทก์แจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจแล้ว ส่วนโจทก์จะคิดดอกเบี้ยอย่างไรจากยอดเงินใด ระยะเวลาเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาและแสดงหลักฐานต่าง ๆ ประกอบข้อเท็จจริงในฟ้องได้หาทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยังติดค้างหนี้โจทก์เฉพาะต้นเงินยังไม่รวมดอกเบี้ยจำนวน 2,703,000 บาทเศษ แม้จำเลยจะยังโต้เถียงอยู่ว่า โจทก์คำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ก็ถือได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนไม่น้อยกว่า 500,000 บาท โจทก์ขอแก้ไขจำนวนหนี้ในฟ้องให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเมื่อแก้แล้วจำนวนหนี้โดยเฉพาะต้นเงินก็ยังไม่น้อยกว่า 500,000 บาทตามเดิมและในเรื่องนี้ศาลฎีกาก็วินิจฉัยไว้เพียงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ในต้นเงินไม่น้อยกว่า 500,000 บาท โดยมิได้ชี้ขัดในชั้นนี้ว่ายอดหนี้ทั้งหมดที่ถูกต้องเป็นเท่าใด เพราะจะต้องไปว่ากันในชั้นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อยู่แล้ว ฉะนั้นฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นการไม่ชอบ จึงไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยคงมีแต่พยานบุคคลมาสืบต่อสู้ว่าชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วโดยไม่ปรากฏว่าได้อ้างอิงพยานเอกสารแสดงถึงการชำระหนี้หากให้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบอีกในประเด็นนี้ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานบุคคลของจำเลยที่จะนำสืบในประเด็นดังกล่าวจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกตามฎีกาจำเลยทั้งสองมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2ข้อ 4 ระบุให้อำนาจนายอรรณพดำเนินคดีทางศาลแทนโจทก์ได้ทั่วไปในคดีทุกชนิด ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีล้มละลาย เอกสารหมาย จ.2จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปแม้โจทก์จะได้มอบอำนาจโดยมิได้ระบุให้ฟ้องผู้ใดเป็นจำเลยและมอบอำนาจไว้นานเพียงใด นายอรรณพก็มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองแทนโจทก์เป็นคดีนี้โดยไม่จำต้องมีหนังสืออนุญาตจากโจทก์ให้ฟ้องจำเลยทั้งสองอีก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาข้อที่สองตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจำนวนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองค้างชำระโจทก์แจ้งชัดพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจแล้ว ส่วนโจทก์จะคิดคำนวณดอกเบี้ยอย่างไร จากยอดเงินใดระยะเวลาเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาและแสดงหลักฐานต่าง ๆ ประกอบข้อเท็จจริงในฟ้องได้ หาทำให้จำเลยทั้งสองเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาข้อที่สามตามฎีกาของจำเลยทั้งสองซึ่งจะวินิจฉัยรวมกันไปมีว่า หนี้ของจำเลยทั้งสองอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนหรือไม่จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ และมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองยังติดค้างหนี้โจทก์เฉพาะต้นเงินยังไม่รวมดอกเบี้ยอยู่จำนวน 2,703,000 บาทเศษ แม้จำเลยทั้งสองจะยังโต้เถียงอยู่ว่าโจทก์คำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ ซึ่งอาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนไม่น้อยกว่า 500,000 บาทพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย
ปัญหาข้อที่สี่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วเป็นการไม่ชอบเห็นว่าโจทก์ขอแก้ไขจำนวนหนี้ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเมื่อแก้แล้วจำนวนหนี้โดยเฉพาะต้นเงินก็ยังไม่น้อยกว่า 500,000 บาทตามเดิม และในเรื่องนี้ศาลฎีกาก็วินิจฉัยไว้เพียงว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ในต้นเงินไม่น้อยกว่า 500,000 บาท โดยมิได้ชี้ชัดในชั้นนี้ว่ายอดหนี้ทั้งหมดที่ถูกต้องเป็นเท่าใด เพราะจะต้องไปว่ากันในชั้นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อยู่แล้ว ฉะนั้นฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาข้อสุดท้ายจำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานบุคคลของจำเลยทั้งสองเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเห็นว่า ข้อที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วนั้น คงมีแต่พยานบุคคลมาสืบเท่านั้นโดยไม่ปรากฏว่าได้อ้างอิงพยานเอกสารแสดงถึงการชำระหนี้ของจำเลยทั้งสองเลย หากจะให้จำเลยทั้งสองนำพยานบุคคลมาสืบอีกในประเด็นที่ว่าชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานบุคคลของจำเลยทั้งสองที่จะนำสืบในประเด็นดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share