แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องของ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อ้างเพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ร่วมกับบุคคลภายนอกคำร้องไม่ได้แสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทนถ้าหากศาลพิจารณาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 แพ้คดีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 57(3)ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี หลังจากศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่นำสืบแล้ว จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ ขอให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบโดยให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำแถลงโต้แย้ง หากศาลเห็นว่าคำสั่งเรื่องหน้าที่นำสืบที่สั่งไว้เดิมถูกต้อง เพื่อเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปนั้น ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของ จำเลยทั้งสามโดยไม่มีข้อแม้ไว้แต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปรับเงินค่าจ้างบรรทุกสินค้ามาทั้งหมดแล้วหักเงินส่วนที่จำเลยที่ 1 จะได้ออก ส่วนที่เหลือจึงจ่ายให้จำเลยที่ 2 ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการที่ใช้เรือลำเกิดเหตุรับจ้างบรรทุกของ จำเลยที่ 1 และที่ 2จึงต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 มีอาชีพรับจ้างบรรทุกสินค้าโดยถ่ายจากเรือใหญ่มาใส่เรือที่จำเลยที่ 3 ควบคุมอยู่เป็นประจำ และบริเวณที่ขนถ่ายสินค้าย่อมจะต้องมีเรือบรรทุกสินค้าไม่ว่าใหญ่หรือเล็กแล่นผ่านไปมาเป็นประจำ ย่อมทำให้เกิดคลื่นใหญ่เล็กเป็นปกติธรรมดา จำเลยที่ 3จึงต้องใช้ความระมัดระวังหาทางป้องกันมิให้สินค้าเลื่อนหล่นตกน้ำเมื่อเกิดคลื่นทำให้เรือโคลงหรือเอียงลง การที่สินค้าเลื่อนหล่นตกน้ำ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังอันสมควร จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้เอาประกันวินาศภัยสินค้าในระหว่างขนส่งไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับจ้างจากบริษัทโฟร์โมสต์ฯและจำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งร่วม ได้ขนส่งสินค้าดังกล่าวโดยให้จำเลยที่ 3ลูกจ้างจำเลยที่ 2 นำเรือลำเลียงขนสินค้าได้ทำสินค้าตกลงไปในแม่น้ำสูญหาย โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทโฟร์โมสต์ตามสัญญาประกันภัยจึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายในจำนวนที่ชดใช้ไป ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน563,432.23 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ความเสียหายมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 หากแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย ค่าเสียหายไม่เกิน 512,211.39 บาท โจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิในอันที่จะฟ้องคดีนี้ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 563,432 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2อ้างแต่เพียงว่า บริษัททีคแอสโซสิเอท (1981) จำกัด เป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้จากบริษัทโฟร์โมสต์ จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับขนสินค้ารายนี้ร่วมกับบริษัทดังกล่าวตามคำร้องไม่ได้แสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนถ้าหากศาลพิจารณาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 แพ้คดี คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 57(3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี
ส่วนคำร้องของจำเลยที่ 3 ขอให้เรียกบุคคลภายนอกดังกล่าวมาเป็นจำเลยร่วมก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2ถูกโจทก์ฟ้องว่ากระทำละเมิดให้สินค้าเสียหาย จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของบุคคลภายนอกที่ขอให้เรียกเข้ามาในคดี จึงไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลภายนอกดังกล่าวเข้ามาในคดี
จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่โดยขอให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบ แต่ถ้าหากศาลเห็นว่าคำสั่งเรื่องหน้าที่นำสืบที่ศาลได้สั่งไว้เดิมถูกต้องแล้ว ก็ให้ถือคำร้องฉบับนี้เป็นคำแถลงโต้แย้งในปัญหานี้เพื่อเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสามโดยไม่มีข้อแม้ไว้อย่างใด จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยทั้งสามทั้งหมดข้อที่จำเลยทั้งสามอ้างว่า ในคำร้องระบุไว้ชัดว่าถ้าหากศาลเห็นว่าคำสั่งเรื่องหน้าที่นำสืบเดิมถูกต้องแล้ว ให้ถือคำร้องฉบับนี้เป็นคำแถลงโต้แย้งในปัญหานี้เพื่อเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปนั้น เห็นว่า เป็นแต่เพียงการแสดงความประสงค์ของจำเลยทั้งสามไว้ล่วงหน้าก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคำสั่งของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) จำเลยทั้งสามจึงไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ได้
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนสินค้าให้กับบริษัทโฟร์โมสต์ฯเมื่อสินค้าที่รับจ้างบรรทุกเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อบริษัทโฟร์โมสต์ฯ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 และในการรับค่าจ้างบรรทุกจำเลยที่ 1เป็นผู้ไปรับเงินค่าบรรทุกมาทั้งหมดแล้วหักเงินส่วนที่จำเลยที่ 1จะได้ออกส่วนที่เหลือจึงจ่ายให้จำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการที่ใช้เรือลำเกิดเหตุรับจ้างบรรทุกของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 3 มีอาชีพรับจ้างบรรทุกสินค้าโดยถ่ายจากเรือใหญ่มาใส่เรือที่จำเลยที่ 3 ควบคุมอยู่เป็นประจำ และบริเวณที่ขนถ่ายสินค้าย่อมจะต้องมีเรือบรรทุกสินค้าไม่ว่าใหญ่หรือเล็กแล่นผ่านไปมาเป็นประจำ ย่อมจะต้องทำให้เกิดคลื่นใหญ่และเล็กเป็นปกติธรรมดาตลอดเวลาอยู่แล้ว จำเลยที่ 3 ย่อมตระหนักดีในข้อเหล่านี้ จำเลยที่ 3จึงต้องใช้ความระมัดระวังหาทางป้องกันมิให้สินค้าเลื่อนหล่นตกน้ำเมื่อเกิดมีคลื่นทำให้เรือโคลงหรือเอียงลง การที่สินค้าเลื่อนหล่นตกน้ำ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังอันสมควร จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่ และโจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายตามคำแถลงให้แก่บริษัทโฟร์โมสต์ ปรีสแลนด์ (ประเทศไทย)จำกัด โจทก์จึงรับช่วงสิทธิฟ้องคดีนี้ได้
พิพากษายืน