คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 จะให้สิทธิผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียเมื่อใดก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องส่งคืนและส่งมอบรถยนต์ในสภาพที่ซ่อมแซมเรียบร้อยและใช้การได้ดีในสภาพเช่นเดียวกับวันที่รับมอบรถยนต์ไปจากเจ้าของพร้อมทั้งอุปกรณ์ และอะไหล่ทั้งหมดให้แก่เจ้าของ ณ สำนักงานของเจ้าของ แต่สัญญาข้อดังกล่าวยังระบุเงื่อนไขต่อไปอีกว่า “และชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที…” แสดงให้เห็นว่า กรณีที่จะถือว่าเป็นการเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อดังกล่าว ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมกับชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลาที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า นอกจากจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาแก่โจทก์ทันที อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาเพื่อใช้สิทธิเลิกสัญญา กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามสัญญาข้อ 12 ที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาข้อ 13 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์โดยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านของโจทก์ ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาอันเป็นค่าเสียหายตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 265,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 245,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเชฟโรเลต หมายเลขทะเบียน ฎข 6571 กรุงเทพมหานคร จากโจทก์ ในราคา 295,570.20 บาท ตกลงผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือน รวม 60 งวด งวดละ 4,926.17 บาท กำหนดชำระทุกวันที่ 10 ของเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556 โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เพียง 4 งวด แล้วผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 5 ประจำวันที่ 10 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสองแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2557 ซึ่งอยู่ในระหว่างกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อมาคืนโจทก์ในสภาพกันชนหน้าชำรุด บังโคลนหน้าซ้าย – ประตูหน้าขวาบุบ ไฟท้ายด้านซ้าย – กระจกมองข้างขวาแตกชำรุด ประตูหน้าซ้ายเปิดไม่ได้ และมีรอยขีดข่วนรอบคัน โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคาเพียง 64,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าขาดราคาแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ในปัญหานี้ จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาที่เช่าซื้อโดยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ผลแห่งการนั้น คงทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อค้างชำระจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืน พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายในการติดตามรถยนต์กลับคืน กับเรียกเอาค่าใช้จ่ายอันเนื่องจากการขายทรัพย์ในจำนวนอันสมควรเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดราคาซึ่งคำนวณเท่ากับจำนวนเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดที่โจทก์ยังไม่ได้รับเต็มตามสัญญา ทั้งการเรียกร้องเงินค่าขาดราคาเท่ากับจำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ยังขัดต่อประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2543 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาได้ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้ออาจบอกเลิกสัญญาโดยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 ที่ให้สิทธิผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเสียเมื่อใดก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้องคืนและส่งมอบรถยนต์ในสภาพที่ซ่อมแซมเรียบร้อยและใช้การได้ดีในสภาพเช่นเดียวกับวันที่รับมอบรถยนต์ไปจากเจ้าของ พร้อมทั้งอุปกรณ์ และอะไหล่ทั้งหมดให้แก่เจ้าของ ณ สำนักงานของเจ้าของ แต่สัญญาข้อดังกล่าวยังระบุเงื่อนไขต่อไปอีกว่า “และชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันที…” แสดงให้เห็นว่า กรณีที่จะถือว่าเป็นการเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 12 ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมกับชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาอยู่ในเวลาที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนด้วย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า นอกจากจำเลยที่ 1 จะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาแก่โจทก์ทันที อันเป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาเพื่อใช้สิทธิเลิกสัญญา กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 12 ที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคาตามข้อตกลงในสัญญา ข้อ 13 ได้ ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2557 โดยไม่ปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านของโจทก์ กรณีจึงถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาอันเป็นค่าเสียหายตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภค ให้จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าขาดราคาต่อโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ข้ออ้างอื่นตามฎีกาของจำเลยทั้งสองไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share