คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษาให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดีแต่ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าพิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้อง ซึ่งไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งหกจึงเป็นฎีกาที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ว่าพิพากษาไม่ถูกต้องตรงตามประเด็นและผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของผู้คัดค้านทั้งหก ผู้คัดค้านทั้งหกจึงมีสิทธิฎีกาได้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งหกคัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้คัดค้านทั้งหกมิใช่เป็นของผู้ร้องผู้ร้องเป็นเพียงผู้อาศัย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงไปด้วยว่าที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่าห.ได้ยกให้ท. กับ ล.และมิได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกของ ห. ตกทอดได้แก่ทายาทรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4 และส.ซึ่งเป็นบุตรของ ท.ซึ่งมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งหกที่นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของผู้ร้อง อันเป็นการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีประกอบเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนั้น หาใช่เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้องไม่ เมื่อคำวินิจฉัยในส่วนนี้มิใช่การฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทโดยตรงแล้วย่อมไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์และฎีกาโดยเพียงแต่มีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกาพิพากษาว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นบางส่วนไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ไม่ได้ขอให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดีโดยเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาที่ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องจึงเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 ท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (3)(ก)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 56 เป็นของนายหนุ่มกับนางมะจ่อยหรือเจ่ย บิดามารดาของผู้ร้อง และได้ยกให้ผู้ร้องตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2504 ผู้ร้องได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วใน พ.ศ. 2504 นายทุนเมี๊ยะ จิตตะ พี่ผู้ร้องกับนางละหยิ่นภรรยาได้ไปแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ขอให้ออกโฉนดที่ดินเป็นชื่อของนายทุนเมี๊ยะกับนางละหยิ่น โดยผู้ร้องไม่ทราบเรื่องจนกระทั่งนายทุนเมี๊ยะและนางละหยิ่นถึงแก่ความตาย ทายาทได้รับมรดกตกทอดต่อ ๆ กันไป ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 56 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งหกยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4และนายสนิท จิตตรานนท์ เป็นบุตรของนายทุนเมี๊ยะกับนางละหยิ่นจิตตะ ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านไม้สองชั้น นายหนุ่มได้ยกให้นายทุนเมี๊ยะเป็นเวลานานแล้ว นายทุนเมี๊ยะได้แจ้งการครอบครองไว้ต่อทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2498 และออกโฉนดที่ดินเมื่อพ.ศ. 2504 โดยนายหนุ่มและผู้ร้องรู้เห็นยินยอมและมิได้คัดค้านนายทุนเมี๊ยะและนางละหยิ่นให้ผู้ร้องอาศัย จนนายทุนเมี๊ยะและนางละหยิ่นถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านก็อนุญาตให้ผู้ร้องอาศัยอยู่ต่อมาใน พ.ศ. 2523 ผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4 และนายสนิทได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อนายสนิทถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านที่ 5 และที่ 6 ภรรยาและบุตรในฐานะทายาทของนายสนิทได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อ พ.ศ. 2532 ผู้ร้องก็ทราบ ไม่เคยคัดค้านแต่ประการใดขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษาให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดี แต่ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้อง ซึ่งไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งหกจึงเป็นฎีกาที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า พิพากษาไม่ถูกต้องตรงตามประเด็นและผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของผู้คัดค้านทั้งหก ผู้คัดค้านทั้งหกมีสิทธิฎีกาได้ที่ผู้คัดค้านทั้งหกฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้องนั้นเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งหกคัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้คัดค้านทั้งหกมิใช่เป็นของผู้ร้องผู้ร้องเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท แม้คดีจะมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ก็ตามแต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงไปด้วยว่าที่ดินพิพาทฟังไม่ได้ว่านายหนุ่มได้ยกให้นายทุนเมี๊ยะกับนางละหยิ่นและมิได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกของนายหนุ่มซึ่งตกทอดได้แก่ทายาทรวมทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 4และนายสนิท จิตตรานนท์ซึ่งเป็นบุตรของนายทุนเมี๊ยะอันมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ผู้ร้องมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนที่ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งหกที่นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของผู้ร้องเท่านั้นอันเป็นการฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีประกอบเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีนั้น หาใช่เป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาเกินคำร้องขอของผู้ร้องแต่อย่างใดไม่เมื่อคำวินิจฉัยในส่วนนี้มิใช่การฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทโดยตรงแล้วย่อมไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ดังที่ผู้คัดค้านทั้งหกอ้างมาในฎีกา ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องต้องตามประสงค์ของผู้คัดค้านทั้งหกนั้นชอบแล้ว เช่นนี้ ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งหกฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ผู้คัดค้านทั้งหกเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านทั้งหกอุทธรณ์และฎีกาเพียงแต่มีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 และศาลฎีกาพิพากษาว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นบางส่วนไม่มีผลผูกพันผู้คัดค้านทั้งหกไม่ได้ขอให้ผู้คัดค้านทั้งหกชนะคดี โดยเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาที่ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งผู้คัดค้านทั้งหกต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ทั้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียงชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (3)(ก) แต่ผู้คัดค้านทั้งหกเสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ทั้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาทั้งสองชั้นศาลดังกล่าวแก่ผู้คัดค้านทั้งหก
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่ผู้คัดค้านทั้งหก

Share