คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์และเป็นนายกสมาคมสื่อมวลชนอุบลราชธานีได้รับหนังสือร้องเรียนจาก ส. ว่า โจทก์มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตจำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 ผู้สื่อข่าวของจำเลยที่ 2 ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง จำเลยที่ 1 รายงานว่าข้อเท็จจริงน่าจะมีมูลตามที่ร้องเรียน ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2 กล่าวหาโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสนามฟุตบอลของโรงเรียนด้วยข้อความว่า “สนามที่สร้างแบบสุกเอาเผากินทำเพียงไม่กี่วันก็เสร็จ” นั้น พฤติการณ์แสดงว่าที่จำเลยที่ 2 กระทำไปเพราะเชื่อโดยสุจริตว่ามีมูลความจริงตามบทความ อีกทั้งวันที่จำเลยที่ 2 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความที่กล่าวหาโจทก์ โจทก์จึงว่ายังสร้างสนามฟุตบอลไม่เสร็จแต่ได้ส่งมอบงานต่อคณะกรรมการตรวจรับงานไปก่อนแล้วเช่นนี้ย่อมทำให้ประชาชนรวมทั้งจำเลยที่ 2 เข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ทำงานไม่เรียบร้อยและผิดระเบียบของทางราชการจริง เมื่อมีเหตุให้น่าสงสัยอันสมควรจำเลยที่ 2 จึงได้ลงพิมพ์โฆษณาบทความวิพากษ์วิจารณ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ถึง 16 ธันวาคม2534 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวและนักเขียนของหนังสือพิมพ์อุบลรัตน์ก่อให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาได้พิมพ์โฆษณาบทความของจำเลยที่ 1ลงในคอลัมน์คิดแล้วเขียนของหนังสือพิมพ์ดังกล่าวมีถ้อยคำใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามให้เข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสนามฟุตบอลโรงเรียนบ้านโพนเมืองได้ขุดเอาดินของโรงเรียนมาถมทำสนามฟุตบอลและยังขุดเอาดินในโรงเรียนไปขายโดยพลการแต่มีผู้ใหญ่ช่วยปกป้องการกระทำผิดของโจทก์ โดยหาทางออกให้นำเงินที่ขายดินได้คืนเข้าบำรุงโรงเรียนโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เหตุเกิดที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 326, 328
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ประกอบด้วยมาตรา 328 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519จำคุก 3 เดือน และปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีตามมาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ข้อความที่จำเลยที่ 2 พิมพ์โฆษณาว่า “สนามที่สร้างแบบสุกเอาเผากินทำเพียงไม่กี่วันก็เสร็จ” นั้นเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่โจทก์อ้างว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงเห็นว่า ที่จำเลยที่ 2 ลงพิมพ์โฆษณาบทความตามเอกสารหมาย จ.1 นั้นเนื่องมาจากนายสุชาติ แซ่ลิ้ม ทำหนังสือร้องเรียนมายังจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายกสมาคมสื่อมวลชนอุบลราชธานี และเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อุบลรัตน์ ว่าโจทก์ผู้รับเหมาก่อสร้างสนามฟุตบอลของโรงเรียนบ้านโพนเมืองมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตรวมทั้งครูบางคนที่เกี่ยวข้องด้วย ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.8และ ล.9 ก่อนจะลงโฆษณาบทความนั้นในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งรับราชการเป็นครูและเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2 ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงจำเลยที่ 1 ได้รายงานว่าข้อเท็จจริงน่าจะมีมูลตามที่ร้องเรียนจำเลยที่ 2 จึงให้จำเลยที่ 1 เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่ 2 พฤติการณ์แสดงว่าที่จำเลยที่ 2 กระทำไปก็เพราะเชื่อโดยสุจริตว่ามีมูลความจริงตามบทความดังกล่าว และวันที่จำเลยที่ 2 ลงพิมพ์โฆษณา คือ วันที่ 16 ธันวาคม 2534 นั้น โจทก์ก็เบิกความรับว่า ยังสร้างสนามฟุตบอลไม่เสร็จ แต่โจทก์ส่งมอบงานต่อคณะกรรมการตรวจรับงานไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2534เมื่อยังก่อสร้างไม่เสร็จ การที่โจทก์มอบงานต่อทางราชการเช่นนี้ย่อมทำให้ประชาชนรวมทั้งจำเลยที่ 2 เข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ทำงานไม่เรียบร้อยและผิดระเบียบของทางราชการ ส่วนโจทก์กับคณะกรรมการตรวจรับงาน จะมีข้อตกลงกันเป็นพิเศษอย่างไรนั้นจำเลยที่ 2 ไม่อาจรู้ได้ เมื่อมีเหตุให้น่าสงสัยอันสมควรจำเลยที่ 2จึงได้ลงพิมพ์โฆษณาบทความวิพากษ์วิจารณ์เพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share