คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ภูมิลำเนาของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71(เดิม) ได้แก่ถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่หรือที่ตั้งทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง คือ บ้านเลขที่3642-3646 ส่วนจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าอยู่บ้านเลขที่ 1723 ตามสำเนาทะเบียนบ้านนั้น แม้บ้านดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนหรือแสดงความประสงค์แทนจำเลยที่ 1 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 75(เดิม) ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 มีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 อีกแห่งจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2ด้วย เมื่อโจทก์ขอให้ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกแก่จำเลยทั้งสองที่สำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการส่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) แต่เมื่อส่งไม่ได้เนื่องจากสถานที่สำนักงานดังกล่าวถูกรื้อไปแล้วและไม่ปรากฏมีการแจ้งย้ายไปอยู่สำนักงานแห่งใหญ่ที่ใหม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลยที่ 2 จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยได้โดยวิธีธรรมดา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79วรรคหนึ่ง ก็ได้บัญญัติทางแก้โดยให้ลงโฆษณาหรือทำวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร การที่โจทก์ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัด
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองพิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ เห็นว่าเรื่องการส่งคำคู่ความและเอกสารนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ได้กำหนดวิธีการส่ง คือ
มาตรา 74 บัญญัติว่า การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใด โดยเจ้าพนักงานศาลนั้นให้ปฏิบัติดังนี้
(1) ให้ส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกและ
(2) ให้ส่งแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งระบุไว้ในคำคู่ความหรือเอกสาร ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความหรือบุคคลนั้นแต่ให้อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติหกมาตราต่อไปนี้
มาตรา 79 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อน ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความหรือบุคคลผู้มีชื่อระบุไว้ในคำคู่ความหรือเอกสารหรือมอบหมายคำคู่ความหรือเอกสารไว้แก่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองในท้องถิ่นหรือเจ้าพนักงานตำรวจ แล้วปิดประกาศแสดงการที่ได้มอบหมายดังกล่าวแล้วนั้นไว้ดังกล่าวมาข้างต้นหรือลงโฆษณาหรือทำวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร
คดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 (เดิม) ได้แก่ถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่ หรือที่ตั้งทำการ หรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้ง คือ บ้านเลขที่3642-3646 ถนนพระราม 4 แขวงคลองเตย เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1 ส่วนภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 อ้างว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 1723 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมาเปลี่ยนเป็นเขตคลองเตยโดยอยู่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2525 ตามสำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารหมายล.2 ล.3 แม้บ้านดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ย่อมเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนหรือแสดงความประสงค์แทน จำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 (เดิม) ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 อีกแห่งจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อโจทก์ขอให้ส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกแก่จำเลยทั้งสองที่สำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่ 1จึงเป็นการส่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(2) แต่ส่งไม่ได้ เนื่องจากสถานที่สำนักงานดังกล่าวถูกรื้อไปแล้ว ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1 ไม่ปรากฏมีการแจ้งย้ายไปอยู่สำนักงานแห่งใหญ่ที่ใหม่ และตามทางไต่สวนจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 อีกแห่งดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยได้โดยวิธีธรรมดาที่จำเลยที่ 2 กล่าวในฎีกาว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ดำเนินคดีอื่นแก่จำเลยที่ 2 หลายคดีแต่ละคดีโจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2 ตามภูมิลำเนาตามเอกสารหมาย ล.2 ล.3 โจทก์ทราบภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวดีการที่โจทก์ขอประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งโดยวิธีธรรมดาพฤติการณ์ของโจทก์ส่อเจตนาไม่สุจริต ทั้งการประกาศทางหนังสือพิมพ์สายกลางนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวไม่เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไปจึงเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้นั้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้แสดงหลักฐานที่อ้างว่าโจทก์เคยฟ้องคดีจำเลยที่ 2 มาก่อนหลายคดี เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เมื่อสำนักงานแห่งใหญ่ของจำเลยที่ 1 ถูกรื้อไป หากเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องติดตามหาภูมิลำเนาจำเลยที่ 2 โจทก์มิต้องไปสืบหาทั่วประเทศหรือ ซึ่งคงไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง บัญญัติทางแก้แล้วโดยให้ลงโฆษณาหรือทำวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควรเป็นประการสุดท้ายการที่โจทก์ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ จึงเป็นวิธีการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ศาลชั้นต้นอนุญาตเป็นการชอบด้วยกฎหมาย แม้จะประกาศในหนังสือพิมพ์ข่าวสารรายวัน ไม่ใช่หนังสือพิมพ์สายกลางที่จำเลยที่ 2 อ้างถึง จะเป็นหนังสือพิมพ์แพร่หลายหรือไม่เพียงใด กฎหมายไม่ได้เจาะจงไว้ เมื่อเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานการพิมพ์เป็นอันใช้ได้ จึงฟังได้ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์ข่าวสารรายวันเป็นการชอบด้วยกฎหมายถือว่าจำเลยทั้งสองทราบวันนัดแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share