คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2313/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสร้างบ้านจนถึงขั้นทำคานชั้นบนเสร็จแล้วจึงทราบว่าบ้านได้ก่อสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยยังขืนสร้างต่อไปจนเสร็จ ถือได้ว่าจำเลยได้ก่อสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารบ้านพักครูสองหลังครึ่งออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 55 แล้วส่งมอบให้โจทก์ โดยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้อง 100,407 บาท กับค่าเสียหายอีกเป็นรายเดือนเดือนละ 180 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อบ้านพักครูและส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินของกรมการศาสนา แปลงโฉนดเลขที่ 4302 เพื่อสร้างโรงเรียนและบ้านพักครูซึ่งอยู่ในสังกัดจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมดูแลและจัดการก่อสร้างที่ดินบริเวณส่วนที่มีการก่อสร้างบ้านพักครู 2 หลังครึ่งรุกล้ำจากเขตที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1เช่าไว้นั้น เป็นที่ดินของกรมการศาสนา โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รื้อถอนบ้านพักครู2 หลัง ที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 55 ออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 180 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม2525 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อบ้านพักครูทั้งสองหลังนั้นและส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ส่วนอื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เฉพาะข้อกฎหมาย ส่วนข้อเท็จจริงไม่รับเพราะเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองดังนั้นในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินที่จำเลยที่ 1เช่าวัดกลางสวนในบริเวณที่ใช้ปลูกบ้านพักครู มิได้อยู่ในเขตที่ดินของวัดกลางสวนแต่อยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 55 ของโจทก์ บ้านพักครูหลังแรกนั้นได้สร้างขึ้นในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต ส่วนหลังที่ 2และหลังที่ 3 นั้นได้สร้างขึ้นโดยจำเลยที่ 3 เข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของกรมการศาสนา แต่ในขณะที่บ้านพักครูหลังที่ 2และที่ 3 ยังสร้างไม่เสร็จ จำเลยที่ 3 ได้ทราบแล้วว่าบ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 สร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยที่ 3ก็ได้ทำการก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ ปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีว่า การปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตนั้น จะถือเอาความสุจริตในขณะลงมือก่อสร้างจนถึงขึ้นที่ไม่อาจรื้อถอนได้โดยใช้เงินพอสมควรเพราะได้ทำคานชั้นบนเสร็จแล้ว หรือจะต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตตั้งแต่ลงมือก่อสร้างจนกระทั่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 สร้างบ้านพักครูหลังที่ 2และที่ 3 ไปจนถึงขั้นทำคานชั้นบนเสร็จแล้วจำเลยที่ 3 จึงทราบว่าบ้านพักครูหลังที่ 2 และที่ 3 ได้ก่อสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่จำเลยที่ 3 ยังขืนสร้างต่อไปจนเสร็จนั้นถือได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ก่อสร้างบ้านพักครู 2 หลังนี้ในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311
พิพากษายืน

Share