คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขายสิทธิเช่าซื้อบ้านพิพาทให้โจทก์และส่งมอบการครอบครองแล้วโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในบ้านพิพาท ดังนั้น การที่จำเลยไล่บุตรและน้องภรรยาของโจทก์ซึ่งอาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในบ้านพิพาทออกไปโดยไม่มีสิทธิและจำเลยได้ปิดประตูบ้านพิพาทใส่กุญแจไว้เพื่อป้องกันมิให้โจทก์หรือคนของโจทก์เข้าไปในบ้านโดยจำเลยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ อันเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อปี 2528 จำเลยทำสัญญาจะขายบ้านเลขที่ 40/2886 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์และได้ส่งมอบบ้านดังกล่าวให้โจทก์เข้าครอบครองแล้ว ต่อมาวันที่ 5 เมษายน 2532 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยเข้าไปในบ้านดังกล่าว และขับไล่บุตรของโจทก์ให้ออกจากบ้านเพื่อจำเลยยึดถือการครอบครองและปิดประตูบ้านใส่กุญแจมิให้บุตรของโจทก์อาศัยอยู่ตามสิทธิการครอบครองตามสัญญา ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองบ้านพิพาทอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์โดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(3)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ประกอบกับมาตรา 362 ให้ปรับ 3,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามมาตรา 29, 30 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานบุกรุกบ้านพิพาท เพราะบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของจำเลยที่จำเลยเช่าซื้อมาจากการเคหะแห่งชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองบ้านพิพาทเพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อสิทธิเช่าซื้อบ้านหลังนั้นไปจากจำเลยนั้น รูปคดีจึงฟังได้ว่า จำเลยได้ขายสิทธิเช่าซื้อบ้านพิพาทให้แก่โจทก์และส่งมอบการครอบครองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในบ้านพิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยกระทำการรบกวนสิทธิครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายสำเริงและนางสาวนิตยา บุตรและน้องภรรยาของโจทก์ผู้อาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในบ้านพิพาทว่า เมื่อคืนวันที่ 5 เมษายน2532 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยซึ่งไม่ได้อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุในช่วงเวลานั้นได้ไปที่บ้านเกิดเหตุพูดจาขับไล่ให้นายสำเริงและนางสาวนิตยาออกไปจากบ้านพิพาทอ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหากนายสำเริงและนางสาวนิตยาไม่ยอมออกไปโดยดีจำเลยจะเรียกเจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมบุคคลทั้งสอง ทั้งนายสำเริงและนางสาวนิตยากลัวถูกจับกุม จึงยอมขนของออกจากบ้านพิพาทจากนั้นจำเลยก็ใส่กุญแจประตูบ้านพิพาทไว้เสียซึ่งจำเลยก็เบิกความตอบคำถามค้านรับว่าจำเลยได้ไปที่บ้านพิพาทและจำเลยได้ปิดประตูใส่กุญแจบ้านพิพาทไว้จริง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ไล่บุตร และน้องภรรยาของโจทก์ซึ่งอาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในบ้านพิพาทออกไปโดยไม่มีสิทธิและจำเลยได้ปิดประตูบ้านพิพาทใส่กุญแจไว้เพื่อป้องกันมิให้โจทก์หรือคนของโจทก์เข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยจำเลยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำการอันรบกวนสิทธิครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share