คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุ ท. และจำเลยกับพวกดื่มสุรากันมาจนมึนเมามิได้ร่วมสมคบกันมาก่อนที่จะทำร้ายผู้เสียหาย และการที่ ท. กับพวกรุมชกต่อยและ ท. ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายนี้ได้ทำขึ้นทันทีทันใดหลังจากที่ผู้เสียหายบอก ท.ว่าผู้เสียหายเรียนอยู่ที่ว.ค.ส่วนการที่จำเลยจับแขนของนางสาว อ.ไว้ก็เพราะกลัวว่านางสาวอ.จะไปช่วยผู้เสียหาย อีกทั้งจำเลยก็มิได้จับแขนนางสาว อ. ไว้แน่นแต่กลับปล่อยให้นางสาว อ. สะบัดหลุดส่อลักษณะเป็นการให้โอกาสนางสาว อ. สะบัดหลุดเพื่อวิ่งหนีไป เพราะอาจได้รับอันตรายจากเหตุที่เกิดขึ้น เช่นนี้พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับ ท. และพวก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 297
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8), 83 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือนคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาลของจำเลยที่ 1เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78คงจำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับพวกดังกล่าวกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบมา เห็นว่า การที่นายทองสุขกับพวกรุมชกต่อยและนายทองสุขใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายนี้ได้ทำทันทีทันใดหลังจากผู้เสียหายบอกนายทองสุขว่าเรียนอยู่ที่ ว.ค. ประกอบกับขณะเกิดเหตุนายทองสุขและจำเลยที่ 1 กับพวกก็ดื่มสุรากันมาข้อเท็จจริงแห่งคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าการกระทำผิดครั้งนี้เกิดจากความมึนเมาสุราของนายทองสุขกับพวกโดยมิได้ร่วมสมคบกันมาก่อนเพื่อจะทำร้ายผู้เสียหาย แม้จำเลยที่ 1 จะจับแขนนางสาวอุดมศิลป์ ทั่งเชียงใหม่ เอาไว้ และตอบโจทก์ถามค้านว่าที่จับแขนนางสาวอุดมศิลป์ไว้เพราะกลัวจะไปช่วยผู้เสียหายก็ยังไม่อาจรับฟังว่าการกระทำเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดกับนายทองสุขและพวกที่รุมชกต่อยผู้เสียหาย ทั้งปรากฏว่าเมื่อนางสาวอุดมศิลป์สะบัดหลุดได้วิ่งหนีไปไม่เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายจำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้วิ่งไล่ติดตามจับตัวนางสาวอุดมศิลป์ไว้ พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้จับแขนนางสาวอุดมศิลป์ไว้แน่น แต่กลับส่อลักษณะเป็นการให้โอกาสนางสาวอุดมศิลป์สะบัดหลุดเพื่อวิ่งหนีไป เพราะอาจได้รับอันตรายจากเหตุที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับนายทองสุขและพวกรุมชกต่อยผู้เสียหาย นายทองสุขเพียงคนเดียวใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้เสียหายแล้วตะโกนบอกพวกให้วิ่งหนี จำเลยที่ 1 จึงวิ่งหนีไปด้วยในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธว่าได้จับแขนนางสาวอุดมศิลป์ไว้เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกันกระทำผิดกับนายทองสุขและพวก
พิพากษายืน

Share