คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1499/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน ส่วนโจทก์มี อ.และ ส. เบิกความเกี่ยวกับสินค้าของจำเลยถูกต้องตรงกันว่าสินค้าพิพาทของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เศษผ้าต้องชำระอากรในประเภทพิกัด60.01 พยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยโดยปราศจากความจริง พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่าพยานจำเลย การกระทำของตัวแทนที่กระทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานการเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 ตัวการต้องรับผิดจะอ้างไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2528 จำเลยที่ 1นำสินค้าเศษผ้าฝ้ายจำนวน 28 ห่อ น้ำหนัก 4,200 กิโลกรัม จากเมืองฮ่องกงเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงรายการชำระภาษีอากรในประเภทพิกัดที่ 63.02 อัตราอากรร้อยละ 25 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ตรวจพบว่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามีน้ำหนักทั้งหมดเพียง 3,962 กิโลกรัม เป็นเศษผ้าถักมีความยาวไม่ถึง 1 หลาน้ำหนัก 2,972 กิโลกรัม ซึ่งเป็นสินค้าในประเภทพิกัดที่ 63.02 และผ้าผืนถักเป็นชิ้นมีความยาว 1 หลาเศษ ไปจนถึง 2 หลา น้ำหนัก 990กิโลกรัม ซึ่งเป็นสินค้าในประเภทพิกัดที่ 60.01 ต้องเสียอากรในอัตราร้อยละ 60 หรือ 80 บาท ต่อกิโลกรัม ที่จำเลยที่ 1 สำแดงและชำระอากรในพิกัด 63.02 อัตราอากรร้อยละ 25 ทั้งหมดจึงเป็นการสำแดงเท็จพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ประเมินภาษีอากรเพิ่มขึ้นเป็นเงิน143,206.85 บาท และได้แจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ 1แล้วจำเลยที่ 1 ไม่ชำระและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินหรือยื่นคำโต้แย้งภายในระยะเวลาตามกฎหมาย จึงต้องรับผิดในเงินเพิ่มต่าง ๆรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 175,157.45 บาท จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน 175,157.45 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน 175,157.45 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานเข้าเบิกความว่า ในทางธุรกิจการค้าของจำเลยจะสั่งสินค้าเศษผ้าที่มีตำหนิไม่สามารถใช้ประโยชน์นำไปตัดเย็บเสื้อผ้าเข้ามาในราชอาณาจักรนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนโจทก์มีนางอุทัยวรรณชี้เชิญ ผู้ตรวจสอบรายการตามใบขนสินค้าของจำเลยที่ 1 เบิกความว่านางสุทภัทริน หาญตะล่อม กับนายไพศาล รัตนกุล เป็นผู้ร่วมตรวจสินค้าได้ทำบันทึกการตรวจสินค้าไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 32และ 34 ผลการตรวจสินค้าปรากฏว่าสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นเศษผ้าถักมีความยาวไม่ถึง 1 หลา และเศษผ้าซึ่งเหลือจากการตัดเป็นจำนวน 2,972 กิโลกรัม เป็นผ้าผืนถักตัดเป็นชิ้นมีความยาวเกินกว่า1 หลาขึ้นไปจำนวน 990 กิโลกรัม นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายแสงชัยนิยะถิระกุล พนักงานเจ้าหน้าที่กองพิกัดอัตราศุลกากรมาเบิกความสนับสนุนอีกว่า ผ้าที่มีความยาวเกินครึ่งหลาและมีจำนวนเกินร้อยละ 3ของน้ำหนักรวมของผ้าทั้งหมด ไม่ใช่เศษผ้าต้องชำระอากรในประเภทพิกัด 60.01 อัตราร้อยละ 60 หรือกิโลกรัมละ 80 บาท เห็นว่าพยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยโดยปราศจากความจริงพยานหลักฐานจึงมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าสินค้าพิพาทที่จำเลยที่ 1 นำเข้าเป็นเศษผ้าถักมีความยาวไม่ถึง 1 หลา และเศษผ้าซึ่งเหลือจากการตัดเย็บรวมจำนวน 2,972 กิโลกรัม ซึ่งต้องชำระอากรในประเภทพิกัดที่ 63.02 อัตราร้อยละ 25 และเป็นผ้าผืนถักตัดเป็นชิ้นมีความยาวเกินกว่า 1 หลาขึ้นไปจำนวน 990 กิโลกรัม ซึ่งต้องชำระอากรในประเภทพิกัดที่ 60.01 อัตราร้อยละ 60 หรือกิโลกรัมละให้ทำใบขนแก้ไขและชำระอากรให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ได้รับแล้วเพิกเฉยตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 40 ถึง 44 และแผ่นที่ 46 ทั้งจำเลยที่ 1ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ประเมิน โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้นำเข้าและจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินอากรทั้งสิ้น 175,157.45 บาท ตามเอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 48 แก่โจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อ้างในอุทธรณ์ว่าในการเสียภาษีอากรนี้กระทำโดยผ่านทางตัวแทน จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้รู้เห็นด้วยตนเองและเป็นการอ้างของโจทก์ที่ 1 ว่าสินค้ามี 2 ประเภทความจริงสินค้าที่จำเลยที่ 1 มีเพียงประเภทเดียวและไม่เข้าประเภทพิกัดที่ 60.01 นั้น เห็นว่าการกระทำของตัวแทนที่กระทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานการเป็นตัวแทนตัวการคือจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดจะอ้างว่าไม่รู้เห็นไม่ได้ ทั้งจำเลยไม่ได้คัดค้านต่อโจทก์ที่ 1เมื่อได้รับแจ้งจากตัวแทนออกของของจำเลยที่ 1 ว่าสินค้าที่นำเข้ามีเพียงประเภทเดียว และไม่เข้าประเภทพิกัด 60.01 โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ให้จำกัดความของคำว่าเศษผ้าไม่ถูกต้องกรณีจึงไม่อาจรับฟังตามที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านได้ คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share