คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่พวกของจำเลยขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ ส.ขับโดยมีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองจึงหยุดรถแล้วลงไปใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม เห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์เพียงต้องการให้หยุดรถเพื่อที่จะได้ทำร้ายร่างกายเท่านั้นเมื่อปรากฏว่า ส. กระเด็นตกจากรถไปนั่งที่พื้นมีอาการจุกเสียด ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอาการบาดเจ็บลุกขึ้นยืนได้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาฆ่าเพราะหากมีเจตนาฆ่าก็น่าจะขับรถยนต์ชนอย่างแรง หรือขับรถยนต์กับ ส. และโจทก์ร่วมไปแล้ว โจทก์ฎีกาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายส. และโจทก์ร่วมแล้วพวกของจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์เก๋งทับร่างของโจทก์ร่วมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปรุมตี ส. และโจทก์ร่วมพร้อม ๆ กันเมื่อเห็น ส. ขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านมามีการร้องท้าทาย ส.และโจทก์ร่วมให้ตีกันเมื่อส. กับพวกไม่สนใจและไม่ยอมหยุดรถจักรยานยนต์พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ล้มลง จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม ดังนี้เป็นการกระทำครั้งหนึ่งคราวเดียวและมีเจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 80, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวิรัตน์ หรือโต้ง จันทร์ละออ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี กระทงหนึ่งและมีความผิดตามมาตรา 297(8), 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี อีกกระทงหนึ่งรวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี คำขออื่นให้ยก
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 295, 297(8) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 2 ปี
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามวันเวลาเกิดเหตุนายสายยันผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายกลับจากรับประทานอาหารมาตามซอยสุขุมวิท 50 มุ่งหน้าไปทางปากซอยเพื่อควบคุมคิวรถจักรยานยนต์รับจ้าง เมื่อขับผ่านบริเวณใต้ทางด่วนไปประมาณ 20 เมตร พวกของจำเลยทั้งสองขับรถยนต์เก๋งสีแดงตามไปชนท้ายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่นายสายยันขับเสียหลักล้มลง นายสายยันและโจทก์ร่วมกระเด็นตกจากรถ จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวก 4-5 คน มีท่อนเหล็กเป็นอาวุธวิ่งมาจากบริเวณใต้ทางด่วนและออกจากรถยนต์เก๋งสีแดงเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วม นายสายยันได้รับอันตรายแก่กายและโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส ตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองกับพวกกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือไม่ ชั้นพิจารณาได้ความว่า เมื่อนายสายยันขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านบริเวณใต้ทางด่วน จำเลยที่ 2 ร้องท้าทายนายสายยันและโจทก์ร่วมว่าเมื่อไรจะตีกันเสียที นายสายยันคงขับรถจักรยานยนต์ต่อไปโดยมิได้หยุดรถ พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งสีแดงตามไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายสายยันขับล้มลง การใช้รถยนต์ใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเพียงแต่ทำให้รถจักรยานยนต์ล้ม นายสายยันกระเด็นลงจากรถไปนั่งที่พื้นมีอาการจุกเสียด ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอาการบาดเจ็บ ลุกขึ้นยืนได้ แสดงว่ามิได้มีเจตนาฆ่านายสายยันและโจทก์ร่วม เพราะหากมีเจตนาเช่นนั้นน่าจะขับรถยนต์ชนอย่างแรงหรือขับรถยนต์ทับนายสายยันและโจทก์ร่วมไปแล้ว การที่ขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ให้ล้มลงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองจึงหยุดรถแล้วลงไปใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมเห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์เพียงต้องการให้หยุดรถเพื่อที่จะได้ทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมเท่านั้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมแล้วพวกของจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์เก๋งสีแดงทับร่างของโจทก์ร่วมด้วยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ในส่วนการกระทำที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมนั้น ตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบกับคำเบิกความของพลตำรวจตรีนายแพทย์สุชาติ อุตตโรทัย แพทย์ผู้ตรวจ ปรากฏว่านายสายยันได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำหลายแห่ง รักษาประมาณ 15 วัน โจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บกระดูกเข่าแตกเอ็นข้อเข่าขาด กระดูกนิ้วกลางบริเวณฝ่ามือหักรักษาประมาณ 60 วัน บาดแผลของนายสายยันและโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่ทำให้ถึงตาย ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏว่ามีเหตุขัดขวางจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ให้ทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมต่อไป เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองกับพวกกระทำโดยเจตนาฆ่า ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าจำเลยทั้งสองกับพวกกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าแม้พวกจำเลยทั้งสองกับนายสายยันและโจทก์ร่วมจะมีสาเหตุต่อกันมาก่อน แต่ก็ยังไม่ได้ความถนัดชัดเจนว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้วางแผนตระเตรียมกันล่วงหน้ามาดักทำร้ายนายสายยันและโจทก์ร่วมตรงที่เกิดเหตุ อาจเป็นเพราะนายสายยันและโจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาพบเข้ากับพวกจำเลยพอดีจึงเกิดเหตุทำร้ายกันขึ้นก็ได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งสองกระทำต่อนายสายยันและโจทก์ร่วมนั้นห่างกัน เป็นพฤติการณ์ที่รับฟังได้ว่าเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันนั้น โจทก์ร่วมเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า พวกของจำเลยทั้งสองมี 3 คนจำเลยทั้งสองรุมตีนายสายยัน ส่วนพวกของจำเลยทั้งสองรุมตีโจทก์ร่วมและเบิกความตอบคำถามติงต่อไปว่า ตอนที่พวกของจำเลยทั้งสองรุมตีโจทก์ร่วมนั้น ที่ยังตีไม่ได้เนื่องจากโจทก์ร่วมวิ่งหนีอยู่รอบรถยนต์เก๋งสีแดง แต่หลังจากจำเลยทั้งสองกับพวกตีนายสายยันเสร็จแล้วจึงได้มาดักตีโจทก์ร่วม ตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวมาเห็นได้ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปรุมตีนายสายยันและโจทก์ร่วมพร้อม ๆ กัน การที่จำเลยทั้งสองกับพวกกระทำความผิดโดยเห็นนายสายยันขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านมามีการร้องท้าทายนายสายยันและโจทก์ร่วมให้ตีกัน เมื่อนายสายยันกับพวกไม่สนใจและไม่ยอมหยุดรถจักรยานยนต์พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ล้มลงจากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวก จึงพากันเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วมเห็นว่าเป็นการกระทำครั้งหนึ่งคราวเดียวและมีเจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกายนายสายยันและโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
พิพากษายืน

Share