คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้วต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้วจำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณาครั้นถึงวันนัดพิจารณาจำเลยยื่นคำให้การ1ฉบับพร้อมกับคำร้องอีก1ฉบับโดยในคำให้การระบุว่าจำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้วขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา357เพียงข้อหาเดียวขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้นแม้จะมีข้อความซึ่งมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตามแต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้นไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดและเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามคำเลยในวันเดียวกันนั้นจำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าวปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลยนอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวในระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรไม่ต่อสู้คดีขอให้ลงโทษสถานเบาซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีกเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่าจำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 335, 357
จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง 83 จำคุก 3 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุก1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 24มกราคม 2539 ว่า จำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้เป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับข้อความและข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ชัดเจนว่า จำเลยยังจะถือเอาข้อเท็จจริงเหล่านั้นต่อไปหรือไม่หรือจะสละเสีย กรณียังฟังไม่ได้โดยสนิทใจว่า จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรโดยไม่มีข้อต่อสู้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบจำเลยถึงคำร้องดังกล่าวว่า จำเลยให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธในข้อหารับของโจร แล้วพิจารณาใหม่ตามรูปคดี
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ากรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรและโจทก์ไม่ได้คัดค้านหรือขอสืบพยานโจทก์ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว ต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 8 ธันวาคม 2538 ว่า ศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้ว จำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณาครั้นถึงวันนัดพิจารณาวันที่ 24 มกราคม 2539 จำเลยยื่นคำให้การ1 ฉบับ พร้อมกับคำร้องอีก 1 ฉบับ โดยในคำให้การระบุว่า”จำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้ว ขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 เพียงข้อหาเดียว ขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์”ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้น ตอนต้นก็มีข้อความระบุว่า “จำเลยขอรับสารภาพในข้อหารับของโจร” แต่มีข้อความในคำร้องต่อมาอีกว่า”จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากพี่ชายภรรยาจำเลยนำทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์มาฝากไว้กับจำเลยโดยบอกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และจะกลับมาเอาภายหลังเพราะจะไปต่างจังหวัดจำเลยเกรงใจจึงรับฝากไว้” แม้ข้อความดังกล่าวจะมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้น ไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด และเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าวปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลยซึ่งจำเลยได้ลงชื่อต่อท้ายบันทึกนี้ด้วย นอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวโดยระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ไม่ต่อสู้คดี ขอให้ลงโทษสถานเบา ปรากฏตามคำให้การและคำร้องที่ยื่นต่อศาลวันนี้ ซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีกเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่า จำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง โดยที่จำเลยได้เข้าใจคำฟ้องซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรไว้ชัดเจนว่า จำเลยได้รับทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เป็นอย่างดีแล้วด้วยจึงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรจริงตามคำให้การรับสารภาพของจำเลย ดังนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 กรณียังถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยหรือฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดที่จะยกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง และเมื่อศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์เพื่อขอให้รอการลงโทษเลยจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ในปัญหาตามที่จำเลยอุทธรณ์

Share