แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่10มกราคม2529บ.ถึงแก่กรรมต่อมาวันที่13มกราคม2529ช. ได้นำหนังสือมอบอำนาจของบ. ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสองแปลงให้ว. นิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของว. นำโฉนดที่พิพาทไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการให้กลับคืนมาเป็นชื่อของบ.เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของบ.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่เป็นการฟ้องขอแบ่งมรดกของเจ้ามรดกจากจำเลยโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของบ. สามารถฟ้องเพื่อติดตามทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้กลับมาจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336กรณีดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความในการติดตามเอาทรัพย์สินคืนจะนำอายุความมรดก1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754วรรคหนึ่งมาใช้บังคับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 10918ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และโฉนดที่ดินเลขที่ 2902 ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างพันจ่าเอกบรรจบผู้ให้กับพันตำรวจเอก (พิเศษ)วิศิษฐ์ ผู้รับกลับคืนเป็นชื่อของพันจ่าเอกบรรจบตามเดิม ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท อีกทั้งได้ใช้สิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของพันจ่าเอกบรรจบเกินกว่า 1 ปี และโจทก์ได้นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่พันจ่าเอกบรรจบได้ถึงแก่กรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 10918ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และโฉนดที่ดินเลขที่ 2902 ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินระหว่าง พันจ่าเอกบรรจบเอมอุดม ผู้ให้ กับพันตำรวจเอกวิศิษฐ์ เอมอุดม ผู้รับกลับคืนเป็นชื่อของพันจ่าเอกบรรจบตามเดิม ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายแต่เพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่10 มกราคม 2529 พันจ่าเอกบรรจบ เอมอุดม ถึงแก่กรรมต่อมาในวันที่ 13 มกราคม 2529 จ่าสิบตำรวจชาญ สร้อยสน ได้นำหนังสือมอบอำนาจของพันจ่าเอกบรรจบไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้พันตำรวจเอก (พิเศษ)วิศิษฐ์ เอมอุดมนิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยนำโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการให้กลับคืนมาเป็นชื่อของพันจ่าเอกบรรจบตามเดิม เห็นว่าตามฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของพันจ่าเอกบรรจบ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่เป็นการฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันจ่าเอกบรรจบสามารถฟ้องเพื่อติดตามทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกให้กลับมาเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ได้ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 กรณีดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความในการติดตามเอาทรัพย์สินคืน ดังนั้นจะนำอายุความมรดก 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับไม่ได้ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และเมื่อได้วินิจฉัยดังนี้แล้ว คดียังคงมีประเด็นข้อพิพาทข้อ (3) และ (4) ที่ว่า พันตำรวจเอกวิศิษฐ์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยชอบหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนการโอนหรือไม่ ตามลำดับ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีในประเด็นข้อพิพาททั้งสองข้อดังกล่าว ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านไว้และโจทก์ก็ได้ยื่นแก้อุทธรณ์เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ไว้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบและแม้ประเด็นข้อพิพาททั้งสองข้อนี้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นกระแสความแล้วก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้การวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อพิพาทอันเป็นเนื้อหาหลักของคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นข้อพิพาทที่ยังมิได้วินิจฉัยตามรูปคดี